"ธุรกิจจัดการกองทุนรวม…มือปืนรับจ้าง (มืออาชีพ)"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

ธุรกิจ "การจัดการกองทุนรวม" เป็นการบริหารเงินที่ระดมจากประชาชนโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ด้วยวิธีการจำหน่ายหน่วยลงทุนในแต่ละโครงการที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 40 โครงการ และนำเงินที่ได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์หลายประเภทที่ได้กฎหมายอนุญาต ทั้งนี้แล้วแต่นโยบายของแต่ละกองทุน เช่น ลงทุนเฉพาะในหุ้น(EQUITY FUND) ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ (BALANCED FUND) หรือลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้ (FIXED INCOME FUND) ด้วยเงินจำนวนมากที่กองทุนรวมระดมได้ทำให้สามารถกระจายการลงทุน (DIVERSIFIED) ไปในหุ้นหลาย ๆ กลุ่ม เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้มากกว่าการลงทุนด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาด ทางการจึงกำหนดให้ บลจ. นำเงินทุนหรือกองทุนรวมที่ระดมได้ไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก บลจ. และมีผู้ดูแลผลประโยชน์ (TRUSTEE หรือ CUSTODIAN) ควบคุมการบริหารกองทุน ตลอดจนการกำกับและตรวจสอบการทำงานของ บลจ. โดย กลต.

ผลประโยชน์ที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับ คือ 1. เงินปันผล 2. มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ เมื่อสิ้นสุดโครงการ (กรณีที่ถือครบอายุ) และ 3. กำไร/ขาดทุน ส่วนเกินทุน (กรณีไถ่ถอนก่อนครบอายุ) ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการจะได้ค่าธรรมเนียมเป็นการตอบแทน

โครงการกองทุนรวมที่จำหน่ายสำหรับนักลงทุนในประเทศในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามสภาพคล่อง ขนาด/อายุโครงการ และผลประโยชน์ ดังนี้ 1. กองทุนเปิด(CLOSED-END FUND) 2. กองทุนเปิด (OPEN-END FUND) โดยกองทุนปิดจะมีสภาพคล่องน้อยกว่ากองทุนเปิด ขณะที่มูลค่าและอายุโครงการจะมีการกำหนดไว้แน่นอน ต่างจากกองทุนเปิดที่ไม่สามารถกำหนดได้ขึ้นอยู่กับความสนใจของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา (ดูตารางเปรียบเทียบลักษณะกองทุนเปิดกับกองทุนปิด)

บลจ. ที่จำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนปิดจะไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนนั้น ๆ ก่อนครบอายุการไถ่ถอน แต่หากผู้ซื้อหน่วยลงทุนต้องการขายคืนก่อนครบอายุก็สามารถกระทำได้ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะ บลจ. จะนำโครงการลงทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายหลังระดมทุนเรียบร้อยแล้วทันที สำหรับราคาที่ทำการซื้อขายจะเป็นไปตามราคาตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งตลอดเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา ปรากฎชัดเจนว่าราคาหน่วยลงทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จะต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV)*ของกองทุนประมาณ 20%

คงไม่ผิดหากเปรียบว่าการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนปิดเปรียบเสมือนกับการฝากเงินประจำ ขณะที่ บลจ. ก็จะทราบถึงจำนวนเงินและระยะเวลาที่แน่นอน ทำให้ง่ายต่อการบริหารเงิน ต่างจากการบริหารกองทุนเปิดที่มีสภาพคล่องสูง การซื้อ/ขายหน่วยลงทุนกับทาง บลจ. หรือสาขาตัวแทนได้ตลอดระยะเวลา จึงมีความยากในการบริหารเงินมากกว่า เพราะไม่สามารถทราบถึงจำนวนเงินที่แน่นอนในแต่ละช่วงเวลา อีกทั้งต้องสำรองเงินสดในอัตรา 10% ตามข้อกำหนดกฎหมาย ซึ่งเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้

ลักษณะของกองทุนเปิดที่มีสภาพคล่องสูงนี้เองที่ทำให้ทางการเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาความรู้ความเข้าใจของประชาชนยังมีไม่มาก ตลอดจนตลาดหลักทรัพย์เองก็ยังไม่มีการพัฒนาอย่างดีพอ ทางการจึงไม่อนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนเปิด (ยกเว้นกองทุนทรัพย์สมบูรณ์ที่ออกโดย บล. กองทุนรวม จำกัด เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2529) จนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม 2536 ที่ผ่านมา)

"ผมว่า..สถานการณ์ในปัจจุบันเราพร้อมที่จะมีกองทุนเปิดได้แล้ว เพราะนักลงทุนในปัจจุบันมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ตลอดจนหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเราก็มีเพิ่มขึ้นกว่าก่อนมาก" สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการชื่อดังแสดงทัศนะ

อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันกรณีเกิด "เหตุการณ์วิกฤต" แล้วประชาชนตื่นตระหนกนำหน่วยลงทุนมาขายคืนกับ บลจ. เป็นจำนวนมากจนกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ทางการจึงให้อำนาจแก่ กลต. ในการสั่งให้ บลจ. หยุดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเป็นการชั่วคราวได้ทันทีหากมีวิกฤต



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.