"กองทุนรวม…18 ปี 8 บริษัท"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

"ความจำเป็นการระดมเงินออมจากประชาชนเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ ประกอบกับการเสนอทางเลือกที่เหมาะสมในการลงทุน" เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม จำกัด ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจกองทุนรวมเป็นแห่งแรกและแห่งเดียว เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2518

อีก 17 ปีต่อมา หรือในปี 2535 ทางการจึงอนุมัติเพิ่มใบอนุญาตประกอบธุรกิจจัดการกองทุนให้กับบริษัทจัดการอีก 7 แห่ง โดยให้ใช้คำนำหน้าชื่อว่า "บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)"

บล. กองทุนรวม ได้สนองต่อวัตถุประสงค์ของทางการในการระดมเงินออมเป็นอย่างดี โดยเริ่มจำหน่ายหน่วยลงทุนครั้งแรกในปี 2520 จนกระทั่งปัจจุบันมีจำนวนกองทุนรวม 11 กองทุน เป็นกองทุนเปิด 1 กองทุนและกองทุนปิด 10 กองทุน รวมมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท และเริ่มจัดตั้งกองทุนที่จำหน่ายให้แก่ชาวต่างประเทศในปี 2529 รวมจำนวนที่จำหน่ายไปแล้ว 10 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 17,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4-5 ปีนับแต่ปี 2529 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์เริ่มมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าทันทีที่เกิดเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทั้งจากภายในประเทศหรือต่างประเทศ การเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์จะมีการปรับตัวที่รุนแรงทันทีซึ่งยากที่จะปฏิเสธว่า การมีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยสูงกว่านักลงทุนสถาบันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดไม่มีเสถียรภาพ

สุธี สิงห์เสน่ห์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน เข้าใจปัญหาเป็นอย่างดีดังคำกล่าวในช่วงที่ประกาศเพิ่มใบอนุญาตผู้จัดการกองทุนในช่วงปี 2534 ว่า "โครงสร้างผู้ลงทุนยังมีปัญหาโดยเฉพาะผู้ลงทุนในประเทศ ซึ่งส่วนมากเป็นบุคคลธรรมดา ที่มีพฤติกรรมการลงทุนในลักษณะเก็งกำไรอันส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์มีความผันผวนมาก…. การเพิ่มนักลงทุนสถาบันเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหา"

ใบอนุญาตจัดการกองทุนรวมใหม่จำนวน 7 ใบ จึงได้รับการอนุมัติในเวลาต่อมา คือ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2535 โดยอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ขณะที่กองทุนที่ตั้งขึ้นก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จะอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 และกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

ความตั้งใจจริงของทางการที่ต้องการเพิ่มนักลงทุนประเภทสถาบัน ทำให้กฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจการจัดการกองทุนรวมมีความผ่อนปรนกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้จ่ายกำไรในแต่ละงวดได้สูงถึงร้อยละ 95 ขณะที่เดิมกำหนดให้เพียงร้อยละ 50 หรือการถือหุ้นสามารถถือได้เพียงร้อยละ 60 เป็นการชั่วคราวได้หากเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง ขณะที่เดิมกำหนดให้ถือไว้มากกว่าร้อยละ 75 ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการลดความเสี่ยงให้แก่ บลจ. ในการบริหารเงิน

ดำรงสุข อมาตยกุล รองกรรมการจัดการ บล. กองทุนรวม จำกัด ได้ชี้แจงถึงผลประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายที่แตกต่างกันว่า "เราไม่ได้เปรียบหรือประโยชน์อะไรเลยครับ ซึ่งคนส่วนมากมักจะเข้าใจผิด เพราะกฎเกณฑ์ ข้อบังคับในการลงทุนเหมือนกันทุกประการ จะต่างกันก็เรื่องเงินปันผลซึ่งตามกฎหมายเดิมจะบังคับให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ ขณะที่กฎหมายใหม่ให้จ่ายเต็มที่…อย่างไรก็ตามตั้งแต่กองทุนรุ่งโรจน์เป็นต้นมาก็อยู่ภายใต้กฎหมาย กลต. แล้ว"

อย่างไรก็ตามแม้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะแสดงสัดส่วนการซื้อขายของกองทุนรวมว่ามีเพียง 3.75% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาด และนักลงทุนรายย่อยยังคงครองสัดส่วนที่สูงสุด คือประมาณ 74% แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของกองทุนรวมอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้าที่ทางการจะให้ไลเซนส์เพิ่มอีก 7 ใบ ในปี 2535 สัดส่วนการซื้อขายของกองทุนรวมในตลาดมีเพียง 1% เท่านั้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.