และแล้วการรักษาเด็กที่เป็นโรคออทิสติคอย่างเป็นระบบ คือใช้ทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการศึกษา
โดยความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กับโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตั้งแต่ปี
2533 ก็ปรากฏผลที่ชัดเจนแล้วว่าเด็กมีไอคิวหรือพัฒนาการทางสติปัญญาเพิ่มขึ้น
ออทิสติคจัดเป็นความพิการประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า DEVELOPMENT DISORDER
คือ เด็กจะมีความบกพร่องด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ไม่พูดเมื่อถึงวัยอันควร
ไม่รู้จักสบตาคน การสื่อความหมายจึงไม่สามารถกระทำได้
"สาเหตุสำคัญยังไม่ปรากฏแต่คาดว่า "ความเครียด" ของมารดาระหว่างตั้งครรภ์น่าจะมีส่วนไม่น้อย"
ดารณี อุทัยรัตนกิจ พีเอชดีทางจิตวิทยาโรงเรียนจากอเมริกาให้ข้อสังเกต
ขณะที่ทางการแพทย์โดยงานวิจัยของ พ.ญ. เพ็ญแข ลิ่มศิลา จิตแพทย์เด็กชื่อดังชี้แจงว่า
"เป็นความผิดปกติของสมองที่มีเซลล์มากกว่าคนปกติ และเบียดกันอย่างหนาแน่นในส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมด้านความจำ
อารมณ์ การเรียนรู้และแรงจูงใจ"
และจากสาเหตุข้างต้นทำให้อาการของเด็กออทิสติคแตกต่างจากเด็กปกติทั่วไปในเรื่องความจำที่ดีเป็นเลิศ
แต่จะไม่พูดเมื่อถึงวัยอันควรโดยเฉพาะในวัย 3 ขวบ หรือพูดก็เป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง
ไม่สบตาและไม่สนใจบุคคลรอบข้าง
โดยปกติแล้วเด็กออทิสติคสามารถเข้ารับการรักษาได้ตามโรงพยาบาลหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามา แต่จะเป็นการรักษาทางการแพทย์เท่านั้น
ขณะที่ทางโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ที่มี พ.ญ. เพ็ญแขเป็นผู้อำนวยการ
จะให้การรักษาควบคู่กันไประหว่างทางการแพทย์กับการศึกษาโดยมีการตั้งโรงเรียนในโรงพยาบาลที่ให้บริการมานานกว่า
10 ปีแล้ว
เพราะเด็กออทิสติคไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน โดยเฉพาะเด็กออทิสติคที่มีปัญญาดี
ความสามารถในการพัฒนาการจะเหมือนเด็กปกติ เพียงแต่ไม่พูดเหมือนเด็กปกติ
ทันทีที่เด็กเริ่มมีอายุ 4 ขวบ และมีการพัฒนาในระดับหนึ่ง คุณหมอก็จะส่งไปเรียนตามโรงเรียนต่าง
ๆ ที่รู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาลลอออุทิศ อนุบาลสมถวิล
หรือโรงเรียนราชวินิตเพื่อฝึกให้เด็กได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับเด็กปกติ
แต่ปรากฏว่าเด็กจำนวนไม่น้อยมีอาการถดถอยต้องส่งกลับโรงพยาบาลเริ่มรักษาใหม่
เพราะเด็กออทิสติคจะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงมาก การเอาใจใส่และการดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง
สถานที่เรียนสำหรับเด็กออทิสติคจึงเป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว
"คุณหมอเพ็ญแขขอความร่วมมือมา ทางเราเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีเพราะเด็กจะได้รับทั้งการรักษาและการศึกษาควบคู่กันไป
จึงเสนอเรื่องต่อทางมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ได้รับอนุมัติ และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี
2533 เป็นโครงการระยะยาวนานถึง 6 ปี" จงรักษ์ ไกรนาม ครูใหญ่โรงเรียนสาธิตเกษตรเล่าถึงความเป็นมาของโครงการ
คงไม่ใช่เพียงความพร้อมด้านสถานที่หรือความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารทั้งสองแห่งที่มีการร่วมงานกันมาโดยตลอด
แต่ความพร้อมด้านบุคลากรน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่น้อย
โดยเฉพาะดารณี ที่เพิ่งคว้าดีกรีด็อกเตอร์ด้านจิตวิทยาโรงเรียนมาหมาด ๆ
จากอเมริกาที่สามารถตรวจวินิจฉัย บำบัด ตลอดจนจัดการเรียนการสอนเด็กออทิสติคได้เป็นอย่างดี
ดารณีจึงมีหน้าที่เป็นซูเปอร์ไวท์ตลอดจนการเทรนบุคลากรที่ร่วมในโครงการ
"ค่าเล่าเรียนของเด็กออทิสติคประมาณปีละ 50,000 บาทต่อปี แต่เรารับเด็กได้ปีละ
5 คนเท่านั้น เพราะเราไม่มีบุคลากรด้านนี้อย่างเพียงพอ…ปีนี้เป็นปีที่ 4
ขณะที่มีเด็กในโครงการปัจจุบันรวม 17 คน เพราะบางคนเรียนไม่ได้ก็ต้องออกกลางคัน"
จงรักษ์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ไม่ใช่เด็กออทิสติคทุกคนจะมีโอกาส เข้าร่วมในโครงการเฉพาะเด็กออทิสติครักษาตัวอยู่กับทางโรงพยาบาลยุวประสาทฯ
มาตั้งแต่เริ่มแรกและมีการพัฒนาทางด้านอารมณ์หรือสามารถควบคุมพฤติกรรมตนเองได้บ้างเท่านั้นที่มีโอกาสดังกล่าว
ในปีแรกเด็กทั้ง 5 คน จะเรียนร่วมกันโดยมีครู 2 คนเป็นผู้ดูแล ยกเว้นวิชาศิลปะ
พละศึกษา และดนตรีที่จะเรียนร่วมกับเด็กปกติ แต่หากเด็กมีความชำนาญหรือความถนัดในวิชาใดเป็นพิเศษก็จะแยกให้ไปเรียนร่วมกับเด็กปกติในวิชานั้น
ๆ ทันทีที่ขึ้น ป. 2
นับแต่ชั้น ป. 3 เป็นต้นไปการเรียนจะร่วมกับเด็กปกติตลอดวัน โดยแยกไปห้องละ
2 คนและ 3 คน ภายใต้การดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดของครูในโครงการพิเศษ
ขณะที่ช่วงปิดเทอมเด็กเหล่านี้จะกลับไปที่โรงพยาบาลยุวประสาทฯ เพื่อให้แพทย์สังเกตการพัฒนา
และตรวจร่างกาย
การร่วมมือกันเป็นอย่างดีระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการประชุมร่วมกันทุกเดือนระหว่างผู้ปกครองเด็ก
นักจิตวิทยา และคุณหมอ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของเด็กออทิสติค น่าจะมีส่วนไม่น้อยต่อการประเมินผลล่าสุดที่แสดงถึงไอคิวหรือการพัฒนาด้านสติปัญญาที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
เด็กออทิสติคหลายคนสามารถทำคะแนนได้สูงกว่าเด็กปกติไม่ว่าจะเป็นวิชาสังคมการเขียนคำยาก
หรือวิชาคำนวณ กรณีของ "น้องพลัม" ที่ชนะเลิศจากการแข่งคณิตคิดเร็วในระดับชั้น
ป. 4 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
"เราคิดว่าโครงการของเราได้ผลนะ เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น แม้ว่าความสัมพันธ์กับสังคมยังไม่ดี
ซึ่งต้องใช้เวลาในการฝึกต่อไป" ดารณีกล่าวและว่า
"มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเปิดรับเด็กต่อไปหลังจากที่ครบเวลาโครงการที่กำหนดไว้
6 ปี เพราะมีปัญหามากมายโดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนบุคลากร แต่เด็กที่อยู่ในโครงการนี้สามารถเรียนต่อไปเรื่อย
ๆ เท่าที่เขาสามารถเรียนได้ และเราก็ติดตามผลตลอดไป"
คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อย หากโครงการจัดการศึกษาพิเศษไม่ได้รับการสานต่อ
โดยเฉพาะภาคเอกชนที่น่าจะเข้ามามีส่วนร่วมเป็นอย่างยิ่งไม่เพียงเพื่อสนองต่อความต้องการที่มีอย่างมหาศาล
ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อบุคคลแต่ผลทางอ้อมที่เกิดกับสังคมก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย