"ภัทรประสิทธิ์ในยุทธจักรเรียลเอสเตท"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

ตระกูลภัทรประสิทธิ์นั้นสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากกิจการโรงเหล้าโดยแท้ มีรากฐานอยู่ในจังหวัดพิจิตร และ นครสวรรค์ จากโรงเหล้าท้องถิ่นธรรมดาก็ไต่เต้าขึ้นไปเป็นโรงเหล้าระดับมาตรฐานที่เชียงใหม่ใช้ชื่อว่า "ภัทรล้านนา" หรือที่ขอนแก่นก็ใช้ชื่อว่า "ภัทรเกรียงไกร"

การก้าวขึ้นไปเป็นเอเย่นต์ของสุราแม่โขงของภาคเหนือเป็นการพลิกโฉมหน้าครั้งสำคัญของตระกูลภัทรประสิทธิ์ ที่จะได้เข้าไปรู้จักกับตระกูลเตชะไพบูลย์ จนเมื่อมีการรวมตัวกันระหว่างแม่โขงและหงส์ทองขึ้นเป็นบริษัทสุรามหาราษฎร์แล้ว ภัทรประสิทธิ์ก็ได้เข้าไปมีส่วนถือหุ้นอยู่ถึง 13% รองจากเจริญ สิริวัฒนภักดี

นอกจากนั้นแล้วยังถือหุ้นอยู่ถึง 50% ในกิจการห้างสรรพสินค้าระดับแนวหน้าอย่างเดอะมอลล์ เป็นพันธมิตรกับตระกูลเอื้อชูเกียรติยึดครองธนาคารหลักทรัพย์เจ้าพระยาที่มีฐานใหญ่อยู่ที่นครสวรรค์ด้วย

วันนี้ "ภัทรประสิทธิ์" เคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ เข้าไปยึดหัวหาดทางด้านพัฒนาที่ดินอย่างเต็มตัวแล้ว และถ้าพิจารณาจากจำนวนรวมทั้งขนาดของโครงการแล้ว ก็จัดว่า "ภัทรประสิทธิ์" เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของวงการเรียลเอสเตทของเมืองไทย

กลไลการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภัทรประสิทธิ์คือ บริษัทภัทรยูโรมิลล์ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ชื่อ ยูโรมิลล์ โดยจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางธุรกิจนี้ เกิดจากสัมพันธภาพที่ JAN COOLAN กรรมการคนหนึ่งของยูโรมิลล์ ได้มาแต่งงานกับหลานสาวในตระกูลภัทรประสิทธิ์

ขณะนี้บริษัท ภัทรยูโรมิลล์ จำกัดมีโครงการพัฒนาอยู่ 5 โครงการ โครงการแรกคือ ไพร์มสเตท มินิออฟฟิศร่วมลงทุนกับบริษัท แกรนด์ไทเซของญี่ปุ่น อัตราส่วน 50:50 เป็นโครงการมินิออฟฟิส 48 ตึก ริมถนนศรีนครินทร์มีมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 700 ล้านบาท

โรงแรมโนโวเทล บางนา เป็นโครงการต่อไปซึ่งร่วมทุนกับกลุ่มแอคคอร์ จากฝรั่งเศส อัตราส่วน 50:50 มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 920 ล้านบาท

โรงแรมเพนนินซูล่า ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โครงการลำดับสามที่ร่วมทุนกับบริษัทฮ่องกง แอนด์ เซี่ยงไฮ้ จำกัด ในอัตราส่วน 50:50 โครงการนี้ใช้งบลงทุนสูงถึง 6,000 ล้านบาท

อาคารสำนักงาน 208 ถนนวิทยุ เป็นอีกโครงการที่ร่วมลงทุนกับบริษัทฮ่องกง แอนด์ เซี่ยงไฮ้ โฮเต็ล จำกัด ในอัตราส่วน 50:50 เป็นสำนักงานสูงถึง 18 ชั้น รวมเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท

สนามกอล์ฟ ทาวน์ แอนด์ คันทรีคลับ จำนวน 1,200 ไร่ เป็นการร่วมทุนกับบริษัทฮ่องกง แอนด์ เซี่ยงไฮ้และเจ้าของที่ดินดั้งเดิมคือ สนามกอล์ฟ ไทยคันทรีคลับในอัตราส่วน 37.5:37.5:25

และในอนาคตอันใกล้นี้หลังจากที่กลุ่มภัทรประสิทธิ์ได้เข้าไปจับมือร่วมกับกลุ่ม เอ็นซีซี เมเนจเมนท์ แอนด์เดเวลอปเมนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารศูนย์ประชุมสิริกิตติ์ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยหัวเรือใหญ่ อย่างเช่นประพันธ์ อัศวอารีย์, ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์, สุเทพ บูลกุลร่วมกันสังสรรค์โครงการใหญ่ 3 โครงการ

อันดับแรกจะเป็นคอนโดมีเนียม 30 ชั้น บนที่ดินเช่าของบริษัทที่อยู่ติดกับอาคารศุภาคาร ด้วยเนื้อที่มากถึง 54,000 ตารางเมตร

อันดับ 2 ก็จะเป็นการจัดตั้งบริษัทเอ็นซีซี คลีนนิ่งเซอร์วิส จำกัด เพื่อรับงานทำความสะอาด โดยจะรับงานในเครือภัทรประสิทธิ์-ยูโรมิลล์และของเอ็นซีซีเป็นขั้นต้น และจะขยายขอบเขตออกไปในอนาคต

อันดับ 3 จะเป็นบริษัทเอ็นซีซี ซีเคียวริตี้ การ์ด เซอร์วิส จำกัด ซึ่งจะรับงานรักษาความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับบริษัททำความสะอาดบริษัททั้ง 2 นี้คาดว่าจะจัดตั้งขึ้นและรับงานได้เร็ว ๆ นี้

จากการร่วมมือทั้ง 2 รูปแบบของกลุ่มภัทรประสิทธิ์จะเห็นได้ถึงพัฒนาการของกลุ่มนี้ว่า ในช่วงแรกนั้นทางกลุ่มจะเน้นหากลุ่มลงทุนที่มีความสามารถทั้งทางด้านการเงินและประสบการณ์ด้านการบริหารโครงการ หรืองานก่อสร้างมาก่อนเป็นอย่างดีจากต่างชาติเพื่อประกันความเสี่ยงของกลุ่มตัวเองที่เพิ่งเข้ามาสู่วงการใหม่ ๆ


เมื่อปีกกล้าขาแข็งขึ้นแล้ว กลุ่มภัทรประสิทธิ์ ก็พร้อมจะร่วมทุนกับกลุ่มของคนไทย สุพล พันธุมโกมล ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ภัทร ยูโรมิลล์ จำกัด อดีตคีย์แมนทางด้านการเงินของวินัย พงศธร กลุ่มเฟิสท์ แปซิฟิค ซึ่งถูกกลุ่มภัทรประสิทธิ์ดึงตัวมาช่วยปรับปรุงกลยุทธ์ด้านพัฒนาที่ดินโดยเฉพาะได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการพัฒนาที่ดินในช่วงต่อไปว่า หลังจากนี้ไป ทางกลุ่มเริ่มมีความพร้อมที่จะเข้าพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้นแทนที่จะต้องให้ผู้ร่วมทุนลงขันถึง 50% อย่างที่เป็นมาในอดีต

พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ร่วมทุนจากในหรือนอกประเทศเข้ามาพร้อมเงินในกระเป๋าก็เพียงพอแล้ว

เมื่อดูถึงความพร้อมของตระกูลภัทรประสิทธิ์ ที่จะเข้ามาลุยในตลาดนี้แล้ว ด้วยความได้เปรียบในอดีตที่ระดับคีย์แมนของกลุ่มเช่น นงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์ หรืออัมพุชในปัจจุบัน ได้ใช้กำไรจากธุรกิจเหล้าที่เก็บออมไว้ หาซื้อที่ดินเก็บไว้เป็น LAND BANK รองรับเพื่อรังสรรค์โครงการต่าง ๆ ในอนาคต

"นักพัฒนาที่ดินที่ประสบผลสำเร็จส่วนใหญ่นั้น จะต้องมีการหาซื้อที่ดินเก็บไว้มาเป็นเวลานานพอสมควร อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป เพราะถ้าต่ำกว่านี้แล้ว ความคุ้มค่าที่จะพัฒนาจะน้อยลงตามลำดับ"

LAND BANK ที่ตระกูลภัทรประสิทธิ์ เก็บหอม รอมริบไว้จนถึงเดี๋ยวนี้นั้น มีทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิเช่น ที่ซอยทองหล่อ 12-15 ไร่ ที่ถนนพระรามเก้าข้างหลังอาคารว่องวานิช หรือที่ 1 ไร่ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของโรงภาพยนตร์บางกอกรามา ซึ่งจะร่วมทุนกับกลุ่ม ACCORE รังสรรค์โครงการใหม่ในอนาคตนอกจากนั้นยังมีอีก 30 ไร่ ที่หนองแขมใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยเอเซีย

ส่วนในต่างจังหวัดนั้น ก็ที่เชียงใหม่เป็นจุดหลัก ทั้งในตัวเมือง และที่ อ.แม่ริม ซึ่งจะได้มีการวางแผนขึ้นโครงการต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต

แม้ว่ากลุ่มภัทรประสิทธิ์จะก้าวขึ้นมาเป็นนักพัฒนาที่ดินอย่างเต็มตัวในช่วงนี้แล้วก็ตาม แต่ความเป็นภัทรประสิทธิ์ที่ชอบจะทำงานอยู่เบื้องหลังโดยทำตัวให้โลว์ โปรไฟล์อย่างสม่ำเสมอนั้น ก็ยังคงอยู่ต่อไปอย่างคงเส้นคงวา

ดูได้จากรายชื่อบริษัทที่เป็นผู้บริหารโครงการต่าง ๆ ที่กลุ่มภัทรประสิทธิ์ได้เข้าไปร่วมลงทุนนั้น จะไม่มีคำว่า "ภัทรประสิทธิ์" เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแม้แต่โครงการเดียว

เพราะบทสรุปของการอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการเข้าไปร่วมทุนในเดอะมอลล์สรรพสินค้า แบงก์เอเชียหรือบริษัทสุรามหาราษฎร์ บ่งบอกและตอกจิตสำนึกของกลุ่มภัทรประสิทธิ์ตลอดเวลาล่าการไปถึงเป้าหมายนั้นไม่ต้องทำตัวให้เด่นดัง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.