ไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ วันนี้ ยางสยามในเครือซิเมนต์ไทย เป็นเครือข่ายที่ใหญ่มาก
ๆ ในวงการผู้ผลิตและค้ายางรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า
การตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจยางรถยนต์ของปูนซิเมนต์ไทยเมื่อ 11 ปีก่อนด้วยการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทไฟร์สะโตนซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
30% ในปี 2525 เป็นทิศทางที่ถูกต้อง หลังจากที่กลุ่มปูนใหญ่ เริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องยนต์
ด้วยการตั้งบริษัทนวโลหะไทยเมื่อปี 2520
จากจุดเริ่มต้นของการซื้อหุ้น 30% ในบริษัทไฟร์สะโตน (ประเทศไทย) แล้วกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทยางสยามในเวลาต่อมา
ถึงวันนี้ การขยายตัวของธุรกิจอุตสาหกรรมยางรถยนต์ของปูนซิเมนต์ไทย จึงมีมากกว่าบริษัทยางในประเทศไทยทุก
ๆ บริษัท
จนมีการวิเคราะห์กันว่ายางสยามกำลังจะกลายเป็นโฮลดิ้งคัมปะนี!!!
แต่ชลาลักษณ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการยางสยามเชื่อว่า ยางสยามยังไม่น่าจะใหญ่ถึงขนาดนั้น
แม้เครือข่ายของยางสยามในวันนี้ มีมากกว่าที่คาดก็ตาม
ปัจจุบัน เครือข่ายของยางสยามประกอบด้วย บริษัทสยามมิชลินที่ปูนซิเมนต์ไทย
ยางสยามและมิชลินร่วมลงทุนตั้งบริษัทในวงเงิน 2,010 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียน
1,130 ล้านบาทในปี 2531 เพื่อผลิตยางเรเดียลเสริมใยเหล็กสำหรับรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก
บริษัทยางสยามอุตสาหกรรม ซึ่งตั้งขึ้นมาเมื่อปีก่อนโดยการร่วมทุนระหว่างยางสยาม
ปูนซิเมนต์ไทยและมิชลิน ด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท เพื่อผลิตยางรถบรรทุกใหญ่และรถโดยสารภายใต้เครื่องหมายการค้า
"สยามไทร์" และมีแผนที่จะผลิตยางเรเดียลรถบรรทุกและรถโดยสาร "มิชลิน"
ในอนาคต
บริษัทสยามอัลลอยวีลอุตสาหกรรม ตั้งขึ้นเมื่อปี 2535 มีทุนจดทะเบียน 180
ล้านบาท ซึ่งยางสยามถือหุ้นทั้งหมดเพื่อผลิตล้ออลูมิเนียมอัลลอยสำหรับรถยนต์นั่งและรถบรรทุกยี่ห้อ
"ASTON" โดยอาศัยเทคโนโลยีจากบริษัทแลมเมอร์ซ เยอรมนี
นอกจากนี้ ยางสยามยังเข้าไปมีส่วนลงทุนในบริษัทอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์คาร์บอนไทยที่มีไทยออยล์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อเป็นฐานในการผลิตวัตถุดิบสำหรับการผลิตยางรถยนต์
การเติบโตของยางสยามจึงเป็นการเติบโตอย่างมีระบบและมีการวางแผนอย่างดี!!
ชลาลักษณ์ยอมรับว่าการวางแผนขยายงานของยางสยามมาจากการศึกษาและวิเคราะห์
เพราะอุตสาหกรรมยางเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนในเรื่องงานวิจัยและพัฒนาสูงมาก
เมื่ออุตสาหกรรมเครื่องยนต์ของเครือซิเมนต์ไทยมีการขยายตัว มีหรือที่ยางสยามจะหยุดอยู่กับที่ได้
แต่การขยายตัวของผู้ผลิตยางรถยนต์ ไม่ได้มีเพียงยางสยามเท่านั้น
"ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเซียและไม่กี่ประเทศในโลก ที่มีผู้ผลิตยางรถยนต์ตั้งโรงงานในประเทศมาก
คือมีทั้งยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นคือบริจสโตน (ที่เป็นผู้ซื้อหุ้นไฟร์สโตนอันเป็นผลให้ยางสยามต้องเลิกผลิตยางไฟร์สโตนและผลิตยางสยามไทร์แทน)
ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาคือกู๊ดเยียร์และยักษ์ใหญ่ของยุโรป คือมิชลินที่มาร่วมทุนกับยางสยามนั่นเอง"
ชลาลักษณ์กล่าว
การแข่งขันในประเทศไทย จึงมีมากกว่าหลาย ๆ ประเทศ
"ยางรถยนต์นี่เป็นสินค้าที่ไม่สามารถแข่งขันเรื่องราคาได้ อย่างให้ลดลงมาเหลือเส้นละไม่กี่บาท
ก็ไม่มีใครซื้อไปเก็บเอาไว้เกินกว่าความจำเป็นต้องใช้" ชลาลักษณ์กล่าว
แต่กรรมการผู้จัดการยางสยามเชื่อว่า ไม่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงแค่ไหนพวกเขาจะทำได้ดี
การที่วันนี้ ยางสยามมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดยางรถยนต์ประมาณ 20% ในตลาดผู้ประกอบรถยนต์
และประมาณ 44% ในตลาดทดแทน ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญญาณบอกถึงความสำเร็จของยางสยามเป็นอย่างดี
"ตลาดโรงงานประกอบรถยนต์นั้นเป็นเรื่องปกติที่ผู้ผลิตยางญี่ปุ่น(บริดจ์สโตน-ไฟร์สโตน)
จะมีมาร์เก็ตแชร์สูงเพราะรถยนต์บ้านเราเป็นรถญี่ปุ่น" นักการตลาดชี้ให้เห็นถึงการที่มาร์เก็ตแชร์ในตลาดโรงงานประกอบรถยนต์ของค่ายตะวันตกมีน้อยกว่าญี่ปุ่น
กล่าวคือ ในตลาดนี้บริดจ์สโตนและไฟร์สโตน มีมาร์เก็ตแชร์รวมถึง 70% โดยประมาณ
และกู๊ดเยียร์มีส่วนแบ่งแค่ 10%
ชลาลักษณ์บอกถึงความสำเร็จของยางสยามว่า ส่วนหนึ่งมาจากการที่เครือข่ายการตลาดที่แข็งมากนั่นเอง
แหล่งข่าวในยางสยามเปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่า เครือข่ายทางตลาดของยางสยามคือดีลเลอร์จำนวนกว่า
600 รายในประเทศ สามารถที่จะทำตลาดได้ดี เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ
ความแตกต่างก็คือ ตัวแทนของบริษัทยางอื่น ๆ มีรูปแบบเป็นดิสตริบิวเตอร์
ที่เน้นการขายส่งมากกว่าขายปลีก ที่เป็นรูปแบบของดีลเลอร์ของยางสยาม ทำให้ยางสยามสามารถที่จะกระจายสินค้าสู่ตลาดทดแทนได้ดี
แม้จะมีจุดอ่อนในตลาดโรงงานรถยนต์ก็ตาม
วันนี้ของยางสยาม จึงเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของปูนซิเมนต์ไทย ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมยางรถยนต์