เกียรตินาคินลดเป้าดัชนีเหลือ660-740จุด


ผู้จัดการรายวัน(15 มกราคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

บล.เกียรตินาคิน ปรับลดดัชนีปีนี้เหลือ 660-740 จุด จากเดิม 780-830 เหตุ ปัจจัยลบรุมเร้าต่อเนื่อง ทั้งมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงิน ระเบิด การเมือง แก้ไขพ.ร.บ.ต่างด้าว กดดันความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศ “วิริยา” เผย ปี50ผลประกอบการกลุ่มอสังหาฯโตเด่นสุด 29% ชี้ "เอ็ม ลิ้งค์" แชมป์ดีวีเดนยิวสูงสุด 2ปีซ้อน

นางสาววิริยา ลาภพรมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เกียรตินาคิน จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 50 ลดลงเหลือ 660-740 จุด จาก 780-830 จุด เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯประมาณ 8 แห่ง ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยังหาผู้กระทำความผิดไม่ได้ การที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจต่างด้าว พ.ค. 2542 และการออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่กันสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้ 30%แม้จะยกเว้นการลงทุนในตลาดหุ้นก็ตรม ส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน

ทั้งนี้หากทิศทางค่าเงินบาทยังคงผันผวนซึ่งยังไม่เข้าสู่เถียรภาพที่ทางธปท.คาดหวัง ร่างรัฐธรรมนูญไม่ปลอดโปร่ง การเมืองยังมีกระแสคลื่นใต้น้ำนักลงทุนกังวลในเรื่องพ.ร.บ.ต่างด้าวและต่างประเทศยังคงชะลอการลงทุนซึ่งจะดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ 660 จุด มีค่าP/Eที่ 7-7.5 เท่า แต่หากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ร่างรัฐธรรมนูญค่อนข้างปลอดโปร่ง การเมืองผ่อนคลายในทางที่ดีขึ้น นักลงทุนต่างประเทศคลายความกังวลเรื่องพ.ร.บ.ต่างด้าวและนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาลงทุนก็จะทำให้ดัชนีปีนี้อยู่ที่ 700 จุด มีค่าP/E7.5-8 เท่า ได้ แต่หากปัจจัยดังกล่าวมีความชัดเจนนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุน ก็จะทำให้ดัชนีปรับตัวได้ถึง 740 จุด P/E8.5เท่า

สำหรับปัจจัยที่จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ การเบิกจ่ายของภาครัฐปี 2550 ที่จะเกิดขึ้นในต้นปีนี้ มีผลต่อโครงการ เมกกะโปรเจ็กต์ในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 5 สาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงการที่ราคาหุ้นไทยอยู่ระดับต่ำที่ 7-7.5 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค

นางสาววิริยา กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2550 เมื่อเทียบกับปี 2549 ที่จะเติบโตโดดเด่น 5 อันดับแรก คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 29% กลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้น 19.34% กลุ่มการแพทย์ เพิ่มขึ้น 17% กลุ่มวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น 13% กลุ่มเทคโนโลยี โต 10% %เป็นผลจากฐานในปี 2549 อยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยังมีความเสี่ยงสูงจากความไม่ชัดเจนของการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ส่วนกลุ่มพลังงานที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังมีผลการเติบโตที่ลดลงเหลือเพียง 6.35%

ทั้งนี้บริษัทได้รวบรวมหุ้นที่คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในปี 2550 ของหุ้นที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า 5% ขึ้นไป ซึ่งบริษัทที่มีผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 0.20 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล14.93% บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL คาดจ่ายปันผล 0.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น ผลตอบแทนจากเงินปันผล 14.29% บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK คาดจ่ายปันผล0.28 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น ผลตอบแทนจากเงินปันผล11.48% บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN คาดจ่ายปันผล 2.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 10.26% และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA คาดจ่าย 2.60 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 9.63%

ส่วนในปี2549คาดว่าบริษัทที่จะมีการจ่ายเงินปันผลและให้ผลตอบแทนสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย MLINK คาดจ่ายปันผล 0.15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 21.43% บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC คาดจ่าย 0.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น ผลตอบแทนจากเงินปันผล 13.66% บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH คาดจ่าย 0.11 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 10.89% และ SHIN คาดจ่ายปันผล 2.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 9.40%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.