|
ธุรกิจ กศ. รับโชคปีหมูทองขึ้นแท่นเบอร์ 2 – ลงทุนคึกคัก
ผู้จัดการรายสัปดาห์(15 มกราคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษาในปี 2550 เป็นธุรกิจที่น่าจับตามองมากที่สุดอีกธุรกิจหนึ่ง เพราะมีการขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15-20% มาอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าตลาดสูงถึง 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี และมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
ทั้งนี้เห็นได้จากการเคลื่อนไหวของแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างชาติมากขึ้น ที่นำเสนอการเรียน การสอนนอกเหนือจากวิชาพื้นฐานอย่างคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ มาเป็น ศิลปะ กีฬา ดนตรี เพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะทางมากขึ้น
ขณะที่วิชาพื้นฐานได้มีการครีเอทหลักสูตรใหม่ เช่น ภาษาอังกฤษเน้นไปที่การออกเสียง การสนทนา เพื่อให้เชี่ยวชาญด้านๆ นั้นมากขึ้น เพื่อเสริมกับการสอนพื้นฐานที่มีอยู่แล้วในตลาด ซึ่งการปรับตัวดังกล่าวนี้ สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
เฮรับสังคมแห่งการเรียนรู้ธุรกิจสุดคึกนำเสนอความต่าง
พัธนะชัย กมลเนตร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลเบิล อาร์ตแอนด์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดการศึกษายังสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะตลาดให้ความสำคัญกับการศึกษาเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ แต่ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไทยมีโรงเรียนสอนพิเศษจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรแล้วพบว่ายังมีช่องว่างอีกมากและเป็นโอกาสของผู้ลงทุน
แต่ทั้งนี้โอกาสที่เกิดขึ้นนั้นต้องดูความเหมาะสมของตลาดด้วย ทั้งนี้จะเห็นว่าช่วงระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมาจะมีแฟรนไชส์การศึกษาที่หลากหลายมากขึ้นไม่เฉพาะที่วิชาพื้นฐานเท่านั้น ที่เปิดให้บริการ เช่น แฟรนไชส์ศิลปะ ดนตรี โรงเรียนสอนขี่ม้า ภาษาต่างๆ ที่เป็นการพัฒนาทักษะต่างๆ ให้เกิดขึ้น
หรือกระทั่งวิชาพื้นฐานอย่างคณิตศาสตร์ที่มีการพัฒนาหลักสูตรตอบสนองความต้องการของผู้ปกครองต่อการส่งลูกเรียนแล้วได้อะไรที่มากกว่าซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่ผู้ปกครองปัจจุบันเล็งถึงและให้ความสำคัญ
พัธนะชัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อตลาดมีการขยายตัวจึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนเล็งเห็น พบว่าในปี 2549 มีการขยายศูนย์ของธุรกิจแฟรนไชส์การศึกษาเพิ่มขึ้นที่ 560 ศูนย์และไต่ระดับการลงทุนอยู่ในอันดับ 2 รองจากธุรกิจอาหาร แซงหน้าธุรกิจบริการ ค้าปลีกและไอทีตามลำดับ
"เป็นทิศทางที่ดีต่อการเข้ามาลงทุนในธุรกิจการศึกษา ซึ่งการเติบโตนี้จะต่อเนื่องมายังปีนี้แน่นอน ซึ่งการเติบโตเฉลี่ยของธุรกิจอยู่ที่ 15-20% ของทุกปี แม้ปีนี้จะมีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ แต่จะเป็นการชะลอการลงทุนในระยะสั้นเท่านั้น"
สำหรับในปี 2550 นี้จะเห็นแบรนด์แฟรนไชส์การศึกษาจากต่างประเทศเข้ามามากกว่าการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์ แต่อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะวิชาที่เจาะจงเช่น ฟุตบอล ยิมนาสติก หรือวิชาที่พัฒนาทักษะเฉพาะด้าน เพราะวิชาพื้นฐานนั้นมีผู้นำตลาดที่เข้มแข็งอยู่แล้วการแจ้งเกิดแบรนด์ใหม่จึงต้องใช้เวลานาน
ทั้งนี้ พัธนะชัย ได้แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์การศึกษาว่า สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจตลาด mass นำเสนอวิชาพื้นฐานตลาดยังไม่อิ่มตัวเพียงแต่ต้องเลือกแบรนด์ที่เข้มแข็ง มีประวัติที่ดีและสามารถพิสูจน์ผลลัพภ์ได้เพราะจะให้ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ส่วนผู้ลงทุนที่ต้องการความแปลกใหม่แนะนำลงทุนในรายวิชาที่เฉพาะกลุ่มที่คนทั่วไปยังไม่รู้จักมากนัก แต่ที่สำคัญแบรนด์ต้องดี ดูความสำเร็จในประเทศที่ขยายไปลงทุนและการบริหารงานที่น่าเชื่อถือหรือไม่
และจุดใหญ่ที่สำคัญคือผู้ลงทุนควรมีความถนัดกับธุรกิจหรือรายวิชาที่เลือกลงทุนเพราะธุรกิจการศึกษาผู้ลงทุนต้องลงไปคลุกคลีมากกว่าธุรกิจประเภทอื่น ไม่ควรนำหลักพิจารณาในเรื่องเทรนด์มาพิจารณากับธุรกิจการศึกษาทั้งหมด
พันธนะชัย กล่าวว่า สำหรับโกเบิล อาร์ตในประเทศไทยนั้น ปีนี้ก้าวสู่ปีที่ 3 การเติบโตของสาขาอยู่ที่ 17 สาขา ซึ่งการขยายสาขาควบคู่กับการสร้างแบรนด์ เทคนิคการสอนให้กับผู้ลงทุนและผู้บริโภครู้จัก คาดอัตราการเติบโตของปีนี้จะโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
แนะนักลงทุนจับกลุ่มเด็กเล็กหนีตลาดกวดวิชาแข่งเดือด
นิพนธ์ เปาอินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดิร์น อิงค์ จำกัด มาสเตอร์แฟรนไชส์ “I Can Read” จากออสเตรเลีย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อธุรกิจการศึกษาในแง่ของนักลงทุน ส่วนใหญ่ชะลอการตัดสินใจออกไป แม้ว่าจะมีความตั้งใจจะเข้ามาลงทุนก็ตาม ประกอบกับสถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง ทั้งนี้จากการสอบถามนักลงทุนส่วนใหญ่มีความเห็นว่ามั่นใจในการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์การศึกษาแต่ไม่มั่นใจระยะเวลาคืนทุนจากสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ยืดระยะเวลาคืนทุนออกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนห่วงในจุดนี้
ส่วนลูกค้าผู้ปกครองนั้น ไม่มีผลกระทบยังส่งบุตรหลานเรียนตามปกติ ดูจากตัวเลขผู้เรียนของศูนย์ I Can Read ไม่ลดลงแต่อย่างใด เพราะยังให้ความสำคัญกับการศึกษา โดยเฉพาะในระดับเด็กเล็ก
นิพนธ์ ฉายภาพการแข่งขันว่า กลุ่มตลาดที่มีการแข่งขันสูงคือตลาดระดับมัธยม เรียนเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย และมีหลายสถาบันเปิดกันมากเพราะเจาะตลาดกลุ่มดังกล่าว ทั้งที่มีการจัดตั้งเป็นสถาบันทั้งในไทย รวมถึงจัดตั้งกันเองในกลุ่มอาจารย์ และแบรนด์จากต่างประเทศ
ขณะที่สถาบันการศึกษาที่เจาะกลุ่มตลาดเด็กเล็กนั้นการแข่งขันไม่รุนแรง และฐานลูกค้าซึ่งเป็นกลุ่มผู้ปกครองนั้นจะเป็นระดับกลางถึงบน ซึ่งกำลังซื้อในการจ่ายค่าเล่าเรียนบุตรหลานตั้งแต่ระดับอนุบาล และเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้ปกครองที่ให้ความสำคัญกับการปูพื้นฐานการศึกษาตั้งแต่เด็กเล็ก
ฉะนั้นความน่าสนใจต่อการเข้ามาลงทุนธุรกิจการศึกษานั้นควรลงทุนกับเด็กเล็ก เพราะการแข่งขันยังไม่สูงมากนัก ดูได้จากแบรนด์ต่างประเทศหลายแบรนด์ที่เตรียมเข้ามาลงทุน เพราะปัจจุบันสาขายังกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าในอนาคตภายใน 3 ปี การขยายสาขาน่าจะครอบคลุมทั่วประเทศทั้งนี้ได้มีการคิดคำนวณจำนวนเด็กที่มี
"ตลาดการแข่งขันในระดับเด็กเล็กไม่สูงมาก จุดขายคือการครีเอทหลักสูตร อย่าง I Can Read แม้ว่าจะเป็นวิชาพื้นฐานทั่วไปที่ตลาดมีค่อนข้างมากแต่มีหลักสูตรที่เป็นลิขสิทธิ์ เป็นหลักสูตรที่ดี ผ่านการทดลองวิจัยมาแล้ว"
และสำหรับ I Can Read นั้นในปี 2550 นี้เตรียมขยายอีก 15 สาขา หลังจากที่ได้ open house ไปเมื่อไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ความสนใจต่อผู้เข้ามาลงทุนเฉลี่ย 100 คนภายใน 2 เดือนที่ผ่านมาและมีกว่า 40 รายที่เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมศูนย์
ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการเข้ามาลงทุนของกลุ่มนักลงทุน ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์นี้จะนำนักลงทุนเดินทางไปดูศูนย์ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมี 10 ศูนย์ประสบความสำเร็จในด้านการยอมรับขึ้นเป็นอันดับ 2 ภายใน 4 ปี จำนวนผู้เรียนต่อสาขาเฉลี่ย 700 คน ต่ำสุดที่ 350 คนต่อสาขา
และเตรียมที่จะย้ายสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคเอเชียมาที่ประเทศไทยเพื่อบุกตลาดประเทศไทยและเป็นศูนย์การในการทำตลาดต่อไปยังประเทศจีน เนื่องจากจำนวนสาขาในสิงคโปร์เต็มและครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจึงต้องทำการขยายในส่วนนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แต่อย่างไรก็ตามความต้องการพื้นฐานของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเรียนเสริมนั้น ส่วนใหญ่ยังโฟกัสไปที่คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ ซึ่งมูลค่ามากถึง 3-4 พันล้านบาท อย่างล่าสุด สถาบันเพิ่มทักษะการเรียนรู้นานาชาติ ไอไออี สถาบันสอนภาษาอังกฤษแบรนด์ไทย ได้แตกแฟรนไชส์แบรนด์ใหม่คือสถาบันเพิ่มทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กระดับประถมจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอายุตั้งแต่ 4-20 ปี ด้วยหลักสูตร “ซุปเปอร์จีเนียส” ซึ่งคิดค้นโดยอาจารย์ชาวไทย
จุดเด่นของหลักสูตรสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากได้รวดเร็วขึ้น ด้วยขั้นตอนและวิธีการในการพัฒนาสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา พัฒนาสมองในด้านการใช้เหตุและผลทางคณิตศาสตร์ บวกกับเม็ดเงินการลงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่สามารถสร้างรายได้ต่อเดือนที่ 250,000-400,000 บาท จากค่าเรียนต่อคอร์สเริ่มต้นที่ 3,900 บาท
ทั้งนี้ผู้ซื้อแฟรนไชส์สามารถซื้อควบทั้ง 2 แบรนด์ซึ่งได้ทั้งภาษาอังกฤษภายใต้แบรนด์ไออีอีและคณิตศาสตร์ ทำให้ครอบคุมวิชาพื้นฐานซึ่งสามารถบ่งบอกถึงอัตราการเติบโตของธุรกิจการศึกษาจากการขยายสาขา ที่ตั้งเป้าแฟรนไชส์ซุปเปอร์จีเนียสครบ 20 สาขาและภายใน 5 ปีขยายครบ 40 สาขาทั่วประเทศ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|