นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ ของโต้โยค่ายฟิล์มสีฟูจิ
สมพันธ์ จารุมิลินท กรรมการบริหารและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กับการไม่ต่อสัญญาว่าจ้าง
ธงไชย แมคอินไตย์ หรือเบิร์ด…! เป็นพรีเซ็นเตอร์ของฟูจิ อีกต่อไป
พร้อมกับการออกหนังโฆษณาของฟิล์มสีชุดใหม่ที่ไม่มี " เบริด์ "
ที่ชื่อว่า ชุด " แอฟริกา" ซึ่งได้นำดาราวัยรุ่นหน้าใหม่มาแสดงแทน
และนำออกอากาศไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2536 ที่ผ่านมา
เหตุผลในการเปลี่ยนตัว พรีเซ้นเตอร์ ของฟูจิ ครั้งนี้ ที่แถลงอย่างเป็นทางการมีเพียงคำชี้แจงของ
" สัมพันธ์" ในวันแถลงข่าวก่อนสิ้นปี 2536 ว่า ฟูจิต้องการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหันไปจับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น
ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการซื้อฟิล์มถ่ายภาพ และมีอำนาจซื้อสูงกว่ากลุ่มอื่น
ๆ จึงได้ออกหนังโฆษณา ที่แสดงนำโดยดาราวัยรุ่นทั้งหมดเพื่อที่จะเน้นกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว
การพูดถึงกลุ่มเป้าหมายของ " สมพันธ์ " หากสังเกตให้ดีนิดหนึ่ง
จะเห็นว่าการที่พูดว่าจะหันมาเน้นกลุ่มวัยรุ่นนั้น ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลไปสักหน่อย
เพราะใครก็รู้ดีว่า ฟูจิ นั้นจับกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลักมาตลอด หากต้องการส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นก็ต้องเข้าไปชิงชัยในกลุ่มลูกค้าที่
โกดัก ครองตลาดอยู่ก็คือ วัยกลางคนขึ้นไป
ฉะนั้น " วันนี้ ที่ฟูจิไม่มีเบิร์ด " อะไรคือเบื้องหลังชึก
ๆ ของหมากกระดานนี้สำหรับฟูจิ และฟูติ คิดย่างไร….
จุดเริ่มแรกของการดึงเบิร์ดมาเป็พรีเซ็นเตรอ์เมื่อปี 2533 เกิดจาการใช้กลยุทธ์การตลาดด้วยการดึงเอาดนตรีเข้ามาเป้นสื่อเพื่อเข้าสู่เป้าหมาย
ช่วงนั้นยังไม่มีใครเข้าไปสนับสนุนดนตรีกันมากนัก เกมของฟูจิก็จับเอาแกรมมี่ซึ่งเป็นค่ายใหญ่ไว้ก่อน
เป็นการตีกัน คนอื่นหากจะหันมาเล่นบ้างก็จะใหญ่สู้แกรมมี่ไม่ได้
นอกจากการเข้าร่วมเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนคอนเสิร์ตและเทปเพลงของนักร้องค่ายแกรมมี่แล้ว
ฟูจิยังดึงเอาเบิร์ดมาเป็นพรีเซ่นเตอร์ในงานโฆษณาของตนด้วย ในช่วงแรกเป็นการร่วมมือกันใน
2 ส่วนคือการทำกิจกรรมเพื่อสังคม โดยฟูจิได้ร่วมรณรงค์แคมเปญอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและมีภาพยนตร์อนุรักษ์ที่มีเบร์ดเป็นตัวชูโรงในชุด
" ไลฟ์อินเดอะบาลานซ์" และอีกส่วนหนึ่งคือในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่มีเบิร์ด
เป็นจุดขายโดยเริ่มที่การโฆษณากล้องฟูจิ รุ่น เอฟเซด 6 หรือที่รู้จักกันในนามของ
" กล้องฟูจิเบิร์ด" นั่นเป็นการเริ่มต้นของ " เบิร์ด"
กับ" ฟูจิ
ถัดมาอีกหนึ่งปีในปี 2534 ฟูจิได้ออกหนังโฆษณาชุดใหม่มาอีกชุด คือในชุด
" จาเมกา" ที่มีแนวสนุกสนานและมีสีสันเพือ่กระตุ้นให้ตลาดฟิล์มตื่น
ขายความสดใสสีสันบาดตาบาดใจ
จากการทำวิจัยวัดผล ของโฆษณาในขณะนั้น พบว่าหนังโฆษณาที่ประชาชนคุ้นเคยหรือเห็นบ่อยหรืออบมากที่สุดในอันดับแรก
ๆ ก่อหน้านั้นไม่เคยมีหนังโฆษณาของสินค้าฟิล์มเข้าไอยู่ในอันดับเลย ส่วนใหญ่จะอยู่แถวอันดับสิบกว่าหรือยี่สิบ
แต่ปรากฏว่าหนังโฆษณาในชุด จาเมกา ที่มีเบิร์ด เป็นพรีเซ็นเตอร์กลายมาเป็นหนังิล์มที่เข้าสู่อันดับหนึ่ง
ซึ่งทำให้ฟูจิประสบความสำเร็จอย่างสูงและตลาดฟิล์มในห้วงเวลานั้น ดูคึกคักเป็นอย่างมาก
และต่อมาก็ออกมาเป็นซีรีส์ของ "จาเมกา" ในชุดที่ 2 และ 3 เป็นแนวกระตุ้นให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ฟูจิมากขึ้น
พร้อม ๆ กับการเปิดอัลบั๊มของตัวเบิร์ดเอง จากมนุษย์บูมเมอแรง ต่อด้วยชุดพริกขี้หนู
ที่ส่งให้ " เบิร์ด" โด่งดังมากที่สุด
นับเป็นอิทธิพลมาจากธงชัย เมคอินไตย ที่ผลักดันให้ฟูจิก้าวกระโดดจนเผ้นที่น่าเกรงขามของโกดักเป้นอย่างมากในช่วงนั้น
ฟูจิ สร้างภาพพจน์ให้กลายเป็นฟิล์มสีชั้นนำใกล้เคียงกับ โกดักได้ภายใน 2-3
ปี ก็เพราะพรีเซ็นเตอร์ที่ชื่อ ธงไชย เมคอินไตย์ หรือ " เบิร์ด"
จนกระทั่งมาช่วงปี 2535 ที่ ศิลปินผู้นี้ได้หยุดการแสดงทั้งปี ก็เล่นเอาฟูจิย่ำแย่ไปเช่นเดียวกัน
กิจกรรมทางด้านการตลาดในปี 2535 ของฟูจิไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไรนัก ทำให้โกดัก
สามารถจยึดสมรภูมิที่เคยพ่ายแพ้กลีบคืนมาได้ในหลาย ๆ ส่วน
จนมาในช่วงต้นปี 2536 การกลับมาของเบิร์ดอีกครั้ง ฟูจิได้ออกหนังโฆษณาชุดใหม่
เป็นหนังโฆษณาในปี 2536 ในชื่อ " สีสันแห่งโลกตะวันออก" เป็นแนวแฟนตาซียิ่งใหญ่
ตระการตา ผสมผสานกับการนำเสนอศิลปะวัฒนธรรมตะวันออก ถ่านทำในประเทศไทยที่ประสาทหินพนมรุ้ง
แต่โฆษณาชุดนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เหมือนอย่างที่แล้วมา บ้างก็ว่า
แนวความคิดไม่แตกต่าง บ้างก็ว่า กระแสความโด่งดังของเบิร์ดเริ่มจืดจาง และนอกจากนี้ตัวเบิร์ดก็ได้รับงานเป้นพรีเซ่นเตอร์ให้กับสินค้าอื่น
ๆ เช่นแนชั่นแนล พานาโซนิค ผลปรากฏว้าก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
ตลอดจนผลงานการแสดงของเบิร์ดทางทีวีก็ถูกวิพากษณ์วิจารณ์ว่าได้รับความนิยมน้อยลงไป
แต่อย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกของคนทั่วไป " ฟูจิก็ยังคือ เบิร์ด เบิร์ดก็คือฟูจิ"
ซึ่งวัดจากการที่เบิร์ดไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ายี่ห้ออื่นอย่างเนชั่นแนลพานาโซนิค
ในความรู้สึกของคนดูซึ่งมีจำนวนอยู่ไม่น้อยยังหลงคิดว่าเป็นโฆษณาของฟูจิ
เมื่อกระแสของ " เบิร์ด ฟีเวอร์" ลดลง ใคร ๆ ก็ต้องคิดหนัก หากแบรนด์ของสินค้าของตัวเองไปผูกติดกับตัวศิลปินที่ลดความนิยมลง
ในความรู้สึกของ " ฟูจิ" จึงไม่ต้องการจะฝากผีฝากไข้ไว้กับเบิร์ด
ให้เป็นตัวแทนของฟูจิอย่างไม่มีวันตายต่อไป… .เพราะถือว่าเป้นความเสี่ยงอย่างมหาศาลที่จะยึดเอาพรีเซ็นเตอร์เพียงคนดียว
ผูกพันเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์เหมือนหลักสัจธรรมที่ว่า " สูงสุดกลับสู่สามัญ"
กระแสความนิยมก็มีวันที่จะจืดจางดังกล่าว ดังที่ผ่านมาแล้งในปี 2535 ที่เบิร์ดงดการแสดงไปในกิจกรรมทางด้านการตลาดของฟูจิก็ลดลงตามไปด้วย
ถึงแม้ว่า จะดูกลมกลืนไปกับสถานการณ์กระแสเศรษฐกิจบ้านเมืองชะลอไปด้วย
แต่ในหลักการของการตลาดแล้ว ก็ยิ่งต้องการโหมการโฆษณาให้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ ฟูจิจำเป็นต้องพลิกหมากเกมเพือ่เดินหน้าต่อไปประจวบกับสัญญาที่ทำกับเบิร์ดหมดลงพอดี
จึงเป็นจังหวะที่ฟูจิตัดสินใจเปลี่ยนพรีเซ็นเตอร์ใหม่มาเป็นกลุ่มดาราวัยรุ่นหลายคน
บทบาทของเบิร์ดกับฟูจิ จึงสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้……