|
โบรกนอกจี้ธปท.ยกเลิกเกณฑ์30%
ผู้จัดการรายวัน(9 มกราคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
โบรกเกอร์ต่างชาติ จี้แบงก์ชาติยกเลิกมาตรการกันเงิน 30% ด่วน ระบุแค่ผ่อนปรนไม่เพียงพอ ทำมาร์เกตแคปหายไปแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท เตือนนักลงทุนไทยระวังต่างชาติใช้จังหวะหุ้นขึ้นขายทิ้ง ซ้ำเติมดัชนีหลุด 600 จุด ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนไทยคาดใช้เวลา 2 สัปดาห์ สรุปผลกระทบจากสมาชิกก่อนเสนอให้ ธปท.-คลัง ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจเลื่อนโรดโชว์ต่างชาติ รอดูท่าทีธปท.อีกครั้ง ส่วนสมาคมบจ.เร่งรวบรวมข้อมูลเม็ดเงินการระดมทุนของบจ.ที่ได้รับผลกระทบ
วานนี้ (8 ม.ค.) สมาชิกสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ประกอบด้วย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจดทะเบียน สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และชมรมโบรกเกอร์ต่างประเทศ ร่วมหารือผลกระทบจากมาตรการการสกัดกั้นการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผลกระทบจากสถานการณ์ระเบิดทั่วกรุงเทพฯ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สมาชิกสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเห็นฟ้องว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือว่าเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์รวมกว่า 1.7 ล้านล้านบาทซึ่งมากกว่าสินเชื่อสุทธิของธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้รวมกันอยู่ที่ 9 เสนล้านบาท
สำหรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้น 2 เหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อมูลค่าหลักทรัพย์รวม หรือมาร์เกตแคปของตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 7 แสนล้านบาท
นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะประธานชมรมโบรกเกอร์ต่างประเทศ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติคือการยกเลิกมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยในเรื่องดังกล่าวการผ่อนปรนมาตรการถือว่าไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ
โดยการประชุมร่วมกับสมาชิกสภาธุรกิจตลาดทุนไทยวานนี้ ที่ประชุมต้องการตัวเลขผลกระทบในเรื่องการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรวมรวบข้อมูลก่อนนำเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมคือการขายสุทธิออกมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในวันที่ประกาศใช้มาตรการ และเชื่อว่าขณะนี้เงินจำนวนดังกล่าวถูกโยกออกไปจากประเทศไทยแล้ว โดยในช่วงปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากถึงประมาณ 3 พันล้านเหรียญ
สำหรับตลาดหุ้นเชื่อว่าหากยังไม่มีการยกเลิกมาตรการของธปท.โดยเร็ว จะทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่องและจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 600 จุดได้ ขณะเดียวกันจังหวะที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างวานนี้ (8 ม.ค.) อาจจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนต่างชาติเตรียมที่จะขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง
"ตอนนี้มุมมองของต่างชาติเค้าแย่มากแล้ว คงไม่มีอะไรที่เค้าคิดว่าจะแย่เท่าตอนนี้ เราหวังว่าการเสนอให้ยกเลิกมาตรการของธปท. เราจะได้รับข่าวดี โดยข่าวดีที่สุดคือการยกเลิกมาตรการไม่ใช่การผ่อนปรนมาตรการ" นายอาจดนัยกล่าว
นายอาจดนัย กล่าวอีกว่า ความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของภาครัฐบาลถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้ไม่ต้องการเงินจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศควรจะมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน ทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศจะได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับนักลงทุน
"เราไม่ควรจะลืมไปว่าต่างชาติสามารถย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ ได้ ที่มีผลตอบแทนดีไม่ถูกควบคุมเงินที่เข้าไปลงทุน ขณะที่นักลงทุนไทยไม่มีตัวเลือกในการลงทุนมากนัก ซึ่งเราต้องตอบให้ได้ว่ามาตรการดังกล่าวถือว่าเป็นการดูแลผลประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติหรือไม่"นายอาจดนัยกล่าว
**เสนอคลัง-ธปท.ใน2สัปดาห์
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นนอกเหนือจากเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทภาคเอกชนแล้วยังถือว่าเป็นแหล่งสะสมเงินออมที่สำคัญของผู้ออมในประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้สภาธุรกิจตลาดทุนไทยต้องเร่งสำรวจผลกระทบมากมายต่อภาคตลาดทุน เช่น การจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือการกำหนดแผนการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เนื่องจากทำให้การออกตราสารหนี้ หรือการออกหุ้นกู้ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในการรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากสมาคมต่างๆรวมถึงผลกระทบของชมรมโบรกเกอร์ต่างประเทศเพื่อกำหนดเป็นแนวทางในการเสนอต่อธปท. และกระทรวงการคลังต่อไป
"นโยบายของประเทศควรที่จะเป็นมิตรกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ แต่มาตรการของแบงก์ชาติทำให้หลายคนได้รับผลเดือดร้อน แม้ว่าจะมีคนบางกลุ่มเห็นชอบกับมาตรการดังกล่าวก็ตาม"นายก้องเกียรติกล่าว
**ตลท.อาจเลื่อนโรดโชว์รอดูทีท่าธปท.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯอาจจะมีการเลื่อนการจัดงานนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุนต่างประเทศออกไป จากเดิมที่คาดว่าจะจัดในช่วงปลายไตรมาส 1/2550 เพื่อรอความชัดเจนในเรื่องนโยบายของธปท. ในมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของนักลงทุนต่างประเทศ จากที่ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทยจะมีการเสนอข้อมูลในเรื่องผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว
**เตรียมสำรวจเม็ดเงินระดมทุนบจ.ปีนี้
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ อุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน กล่าวว่า ทางสมาคมบจ.จะเร่งสำรวจบริษัทจดทะเบียนต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีจำนวนกว่า 500 บริษัทในเรื่องการระดมทุนทั้งการออกหุ้นเพิ่มทุน และตราสารหนี้ เพื่อสรุปผลกระทบของบริษัทจดทะเบียนที่จะต้องระดมทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อนำเงินไปลงทุนขยายกิจการว่ามีจำนวนเท่าไร
ทั้งนี้ การประเมินถึงผลกระทบเบื้องต้นที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธปท. ทำให้เชื่อว่าการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนจะทำได้ลำบากมากขึ้น และโครงการลงทุนต่างๆอาจจะต้องมีการเลื่อนออกไป โดยมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวส่งให้กับทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เพื่อให้เสนอต่อกระทรางการคลัง และ ธปท.ต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาประเมินตัวเลขดังกล่าว 2-3 สัปดาห์
"ตลาดทุนถือเป็นแหล่งสำคัญในการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียน ทั้งออกหุ้นทุน และตราสารหนี้ ซึ่งทางสมาคมบจ.จะมีการสำรวจในเรื่องการระดมทุนในปีนี้ของ บจ.ว่าจะระดมทุนเท่าไร และจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% จะส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนได้ลำบากขึ้น และทำให้โครงการขยายการลงทุนของบจ.ต่างๆต้องมีการเลื่อนออกไปหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวให้ทางสภาธุรกิจตลาดทุนเสนอต่อกระทรวงการคลัง และธปท.ต่อไป "นายชนินท์ กล่าว
**เชื่อบจ.เลื่อนระดมทุนผ่านกองอสังหาฯ
นายมาริษ ท่าราบ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กล่าวว่า ตนเชื่อว่าในอนาคตหากธปท.ไม่มีการผ่อนผันการระดมทุนผ่านกองทุนอสังหริมทรัพย์ จะทำให้บริษัทจดทะเบียนต่างๆที่มีแผนที่จะระดมทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต้องมีการเลื่อนออกไป หรือต้องไประดมทุนผ่านช่องทางอื่น ซึ่งที่ผ่านมาทางสมาคมบลจ.ได้มีการเสนอผลกระทบต่อเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลังและธปท.แล้ว ซึ่งในครั้งนี้ทางสมาคมบลจ.จะร่วมกับทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทยมีการเสนอเรื่องดังกล่าวอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างประเทศถือหน่วยกองทุนต่างๆเฉลี่ย 35-40% โดยทางสมาคมคาดว่าปีนี้ขนาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 70,000 ล้านบาท จากปี2549 ที่มีขนาดกองทุน 44,000 ล้านบาท โดยคาดว่าไตรมาส1 /2550 จะมีมูลค่าการออกกองทุนจำนวน 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นกองทุนเดิมที่มีการเพิ่มทุน และการจัดตั้งกองทุนใหม่
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|