"สนทนาการลงทุน"


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

ในส่วนนี้จะเป็นคำแนะนำว่า ถ้ามีเงินลงทุน 100,000 ดอลลาร์แล้วในสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดหุ้นอเมริกานั้น ควรที่จะลงทุนในรูปแบบใดและในสัดส่วนเท่าไร โดยกลุ่ม Dream Team ทาง Strategists ซึ่งประกอบด้วย ปีเตอร์ ลินช์, อีเลนนี่ กาสซาเลียรี่, มาริโอ การเบียรลี่ และเฟเยซ ซาโลฟิม

ข้อความในส่วนต่อจากนี้ "ผู้จัดการ" มีเป้าหมายเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ทัศนคติและเหตุผลของผู้เชี่ยวชาญการลงทุนว่าเป็นอย่างไร เป็นกระจกที่นำมาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย

Peter Linch : Trustee of the Fidelity Group of Funds

เขาเคยเป็น Head of Fidelity Magellan กองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุด ในช่วงปี 1977-1990 ซึ่งให้ผลตอบแทนถึง 2,703% หรือประมาณ 5 เท่าของ S&P 500 แต่เขาออกจาก Magellan เมื่ออายุ 46 เพื่อจะได้มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น

"เราค่อนข้างเป็นห่วงสภาพตลาดหุ้นของอเมริกาในปัจจุบันเพราะค่า P/E Ratio ค่อนข้างสูง จากการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำซึ่งตัวบริษัทเองก็ควรที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดีด้วย ตลาดจึงจะมีเสถียรภาพ ดังนั้นเมื่อมีการลงทุนในหุ้นแล้วนักลงทุนก็ควรที่จะคอยติดตาม เพราะเราคิดว่าการซื้อหุ้นแล้วทิ้งไว้ก็เหมือนกับการเล่นไพ่แล้วเราดูไพ่ในมือเพียงครั้งเดียว

ดังนั้นสิ่งที่คุณควรจะทำคือ จะลงทุน 25% ของเงิน 100,000 ในรูปเงินสด ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยจะเหลือเพียง 3% แต่อัตราเงินเฟ้อก็ใกล้ศูนย์ จากนั้นค่อยซื้อ Bonds อีก 25% เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่มากขึ้นโดยเพิ่มความเสี่ยงในระดับที่พอรับได้ ส่วนอีก 50% ที่เหลือจะลงทุนในหุ้น และถ้าตลาดมีการปรับตัว ก็ควรจะลงทุนในส่วนนี้เพิ่มอีกเพราะภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัว ดังนั้นกลุ่มที่ควรจะมีไว้บ้างคือ พวก Cyclical Stocks เช่น รถยนต์ เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ชะลอตัวมา 4 ปีแล้วและกำลังเริ่มจะดีขึ้น ส่วนที่เหลือก็จะลงทุนในหุ้นของสถาบันการเงิน, ธุรกิจบริการ และธุรกิจที่มีการขยายตัวสูง"

Elaine Garzarelli : Director of Sector Analysis, Shearson Lehman เธอเป็นผู้มองแนวโน้มตลาด ตลอดจนวิเคราะห์ศักยภาพของแต่ละอุตสาหกรรมว่าจะดีขึ้นหรือเลวลง การทำงานเธอใช้โปรแกรมทางคอมพิวเตอร์เพื่อตัดปัจจัยทางด้านจิตวิทยาหรืออารมณ์ออกไปจากการวิเคราะห์ ครั้งที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงมากคือการทำนายว่ามี Crash ในปี 1987 และแนะนำให้ซื้อช่วงปลายปี 1990 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดต่ำสุดก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดกระทิง

"เศรษฐกิจอเมริกาคาดว่าจะมีการขยายตัวของ GDP ราว 2.25% ประกอบกับมีก่อหนี้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มีสูง ดังนั้นการก่อหนี้ใหม่คงมีน้อยลง และส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไม่ขยายตัวสูงซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อตลาดหุ้นและ Bonds เพราะฉันคิดว่าตลาดหุ้นยังคงอยู่ในช่วงตลาดกระทิงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ดังนั้นคุณควรจะเลือกลงทุน 25% ของพอร์ตในพันธบัตรรัฐบาลประเภท 30 ปี ซึ่งปัจจุบันมีอัตราผลตอบแทนเท่ากับ 7.3% และคาดว่าอัตราผลตอบแทนจะลดลงเป็น 6.25% ในอีกสองปีข้างหน้า ซึ่งการลดลงของผลตอบแทนนี้เป็นสาเหตุหลักที่ควรลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าเพราะจะมีผลให้ P/E Ratios มีการขยายตัว เพราะอเมริกากำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ดังนั้นในช่วงใกล้นี้ควรให้ความสนใจ Cyclical Stocks ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวแร็วพวกหุ้นเทคโนโลยี ที่สำคัญคือการเปลี่ยนการลงทุนจากกลุ่ม Cyclical Stock เป็น Consumer Stocks ที่มีผลกำไรโต 15-20% อย่างสม่ำเสมอ คือควรจะเปลี่ยนเมื่อหุ้น Consumer มีอัตราการขยายตัวของผลการดำเนินงานของ S&P 500 ซึ่งกว่าจะถึงช่วงเวลานั้นคงเปนราวปี 1993 ส่วนหุ้นที่คุณควรจะลงทุนนั้นควรเลือกลงในกลุ่มอาหาร, กลุ่ม Health Care ,บริษัทยา เป็นต้น"

Mario Gabell : Gabell & Co

ปัจจุบันเขาดูแลกองทุนมูลค่ามากกว่า 6 พันล้านเหรียญซึ่งมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในห้าปีนี้เท่ากับ 10.8% ในขณะที่ S&P 500 มีผลตอบแทนเพียง 8.2%

"เราควรจะมองถึงการลงทุนในระยะยาวเพราะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาจะช้ากว่าที่เคยเกิดขึ้นในทศวรรษที่ 70 และ 80 แต่สิ่งที่ดีต่อโอกาสทางธุรกิจคือการมีอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น

โดยทั่วไปผู้ลงทุนมักชอบที่จะเข้าไปลงทุนในพันธบัตรในระยะยาวเป็น 7.3% และถูกเก็บภาษี 33% รายได้หลังจากการหักภาษีจะคงเหลือ 4.8% ซึ่งคิดว่าน้อยเกินไป

คุณควรจะจัดเงินลงทุนของคุณทั้งหมดลงในตลาดหุ้นซึ่งควรจะได้รับเงินตอบแทนหลังจากหักภาษีและอัตราเงินเฟ้อแล้วประมาณ 10% คือจะต้องมีกำไรขั้นต้นก่อนหักภาษีถึง 20-25% เพราะในอนาคตจากสงครามการค้าระหว่าง ญี่ปุ่น, ยุโรป และสหรัฐฯ จะเข้มข้นขึ้น และปัจจุบันบางอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ มีต้นทุนที่ต่ำกว่า ดังนั้นความสามารถในการส่งสินค้าออกของบริษัทเหล่านั้นน่าจะดีขึ้น

คุณควรจะลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ 20-25% เพื่อให้มีรายได้ประจำบางส่วนและสามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญได้ด้วย ส่วนหุ้นกลุ่มควรให้ความสนใจคือในกลุ่มสิ่งพิมพ์เพราะในอนาคตคนอเมริกาจะได้รับการศึกษามากขึ้นและในบริษัทกลุ่มสันทนาการ กลุ่มอาหาร กลุ่มบริการที่มีพื้นฐานและแนวโน้มที่ดี"

Fayez Sarofim : Fayez Sarofm & Co

เขาเป็นผู้บริหารกองทุนที่ลงทุนในหุ้นบลูชิปรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงสองหมื่นแปดพันล้านดอลลาร์โดยลงทุนในหุ้นของ Phillips Morris, Coca Cola และ Merck

ผมขอแนะนำให้ใช้เงินทั้งหมดลงทุนในหุ้น ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่ช้าลงตลอดทศวรรษที่ 90 โดยที่อัตราดอกเบี้ยจะไม่สูงขึ้นมากนัก หุ้นซึ่งสามารถให้กำไร 15% จะถือว่ามีค่ามากในตลอดทศวรรษนี้"

หลักในการเลือกซื้อหุ้นคือ

1. จากสมมติฐานที่เชื่อว่าเศรษฐกิจของอเมริกาจะเติบโตช้ากว่าตลาดโลก ดังนั้นรูปแบบบริษัทที่มีรายได้ประมาณ 40% มาจากต่างประเทศ จะได้ประโยชน์จากการที่ค่าของเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง แต่ถ้าหากเงินดอลลาร์แข็งตัวขึ้น ก็สามารถเก็บเงินเหล่านั้นไว้ในรูปของเงินตราในสกุลท้องถิ่นก่อนได้หรือนำไปลงทุนต่อ

2. ควรจะลงทุนในบริษัทที่มีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง อันเป็นเครื่องหมายว่าบริษัทนั้นมีการเจริญเติบโตที่ดีมีเงินทุนที่สามารถนำไปลงทุนต่อได้หรือนำกลับมาซื้อหุ้นของตัวเองคืนได้

3. บริษัทนั้นต้องมีสัดส่วนของ ROE ที่ดี

4. บริษัทนั้นจะต้องมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องรวมทั้งมีเงินปันผลที่ดีด้วย
ผมขอแนะนำถึงหุ้นบลุชิปในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มและกลุ่มยาที่มีตลาด และรายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงโดยยึดถือความมั่นคงและอัตราผลตอบแทนที่น่าพอใจ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.