พรีมาเวสท์เมินกฎเหล็กลุยต่อ2กองทุน


ผู้จัดการรายวัน(8 มกราคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

บลจ.พรีมาเวสท์ไม่สนแบงก์ชาติตั้งเกณฑ์กันสำรองเงิน 30% เดินหน้าลุยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่ออีก 2 กอง ลงทุนทั้งอาคารสำนักงาน-เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์-โรงแรม ยืนยันแม้ธปท. ยังไม่ผ่อนปรนมาตรการสกัดกั้นค่าเงินบาท ก็จะเดินหน้าระดมทุน เล็งเป้าหมายกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นหลัก

นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีกอย่างน้อย 2 กองทุน โดยกองทุนแรกจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัยประเภทเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ซึ่งอาจจะนำมาคละกันและจัดตั้งเป็นกองทุน โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนอีกกองทุนนั้น จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงแรม และคาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ประมาณช่วงครึ่งหลังของปี

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนโครงการสำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เจซี (JCP) มูลค่าโครงการ 620 ล้านบาท ซึ่งได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นวันแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสินทรัพย์ที่จะนำเข้ามาอยู่ในกองทุนนั้น อาจจะเป็นทรัพย์สินของเจ้าของเดิมหรือสินทรัพย์ใหม่ด้วย

ทั้งนี้ จากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีผลรวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ด้วยนั้น ส่งผลกระทบต่อกองทุนกองใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นพอสมควร โดยเฉพาะสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติ ถึงแม้จะเป็นการลงทุนในระยะยาวก็จริง แต่เขาคงไม่ต้องการกันเงินสำรองไว้ 30% ในปีแรกโดยไม่มีผลตอบแทนอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม กองทุนใหม่ที่จะออกมาคงต้องหันมาดูนักลงทุนสถาบันในประเทศแทน ถึงแม้จะข้อจำกัดหลายอย่างโดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนที่น้อยกว่า แต่หากธปท. สามารถผ่อนผันมาตรการดังกล่าวสำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้หรือมีความชัดเจนมากกว่านี้ ก็เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดกองทุนรวมอสังหาฯ แน่นอน เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนเองก็เริ่มรู้จักและเข้าใจการลงทุนมากขึ้น ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการเองก็ไม่อยากให้การขยายตัวต้องมาสะดุดลงทุนมาตรการของธปท.

"สำหรับกองทุนใหม่ที่จะออกมาคงต้องดูนักลงทุนสถาบันในประเทศมากขึ้น แต่นักลงทุนต่างประเทศก็คงต้องมีบ้างคละกันไป ซึ่งในส่วนขนาดของกองทุนเองเราก็คงไม่ทำให้ใหญ่มากนัก โดยหากระดมทุนได้แล้วก็สามารถมาเพิ่มทุนภายหลังได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่า"นายเพิ่มพลกล่าว

นายเพิ่มพลกล่าวว่า ถึงแม้ว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะไม่ได้รับการผ่อนปรนจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธปท. ก็ยืนยันที่จะระดมทุนต่อไป โดยในระหว่างนี้ก็จะดำเนินการยื่นเสนอข้อมูลขอจัดตั้งกองทุนกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปก่อน เพราะหากธปท. ผ่อนปรนแล้วจะสามารถเปิดขายกองทุนได้ทันที ในแง่ของนักลงทุนเอง ก็ต้องเร่งทำความเข้าใจให้มากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เอง ก็กำลังอยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวให้มีความชัดเจนโดยเร็ว โดยจุดประสงค์หลักที่สมาคมต้องการก็คือ ให้การลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้รับการผ่อนผันจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธปท. เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นด้วย

สำหรับแผนงานในปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อีก 1 กองทุนในช่วงเดือนมกราคมนี้หลังจากต้องเลื่อนออกไปจากเดิมที่มีแผนจะระดมทุนตั้งแต่ปลายปี 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นแถบเอเชีย-แปซิฟิก ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศตอนนี้ คงยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม ซึ่งเราเองก็มีแผนจะจัดตั้งกองทุนเช่นกัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้คงเน้นทำการตลาดสำหรับกองทุนเก่าที่มีอยู่แล้วไปก่อน

"กองทุนหุ้นในปีนี้ เราคงเน้นกองทุน FIF เป็นหลัก เพราะตลาดหุ้นบ้านเราเองไม่สู้ดีนัก จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ซึ่งในส่วนของกองทุน FIF ก็เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เพราะถือเป็นอีกช่องทางในการกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว"นายเพิ่มพลกล่าว

**ต่างชาติชะลอลงทุนกองอสังหาฯ

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการที่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ได้ออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ โดยทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยซึ่งอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอการเติบโตนอกจากนี้การพัฒนาตลาดทุน หรือการนำบริษัทใหม่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์อาจจะไม่เป็นไปตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคาดหวังก็ได้ เพราะขาดแรงจูงใจและปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น

นอกจากนี้ บริษัทอาจจะมีการชะลอการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) เนื่องจากต้องรอความชัดเจนของมาตรการกันสำรอง 30% ของ ธปท. ก่อน

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาได้เดินทางเข้าไปหารือกับ ธปท .และสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้พิจารณา และแก้ไขหรือ ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%ที่ใช้กับกองทุนรวมเหมือนกับการยกเลิกให้กับการลงทุนในตลาดหุ้นแต่ในขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.