ครอบครัวภัทรประสิทธิ์ร่ำรวยอย่างเงียบเชียบในกิจการสุราที่ร่วมทุนกับ เจริญ
สิริวัฒนภักดี ว่ากันว่าตระกูลนี้เป็นผู้ที่มีเงินสด (cash rich) เป็นกอบเป็นกำมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
เพราะกิจการของครอบครัวนี้มีอยู่ 4 ธุรกิจหลักคือกิจการค้าปลีก เดอะมอลล์,
อุตสาหกรรม-สุรา, เซรามิก และพอร์ชเลน, กิจการด้านการเงิน-บงล.เจ้าพระยา
ธนาคารเอเชีย และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัทดอนเมืองพัฒนาซึ่งดำเนินกิจการตลาดสี่มุมเมือง
หุ้นส่วนในโรงแรมโนโวเทล และแลนด์แบงก์อีกเป็นจำนวนมากในเขตภาคเหนือตอนล่าง
ทั้งกิจการค้าปลีกสุราและตลาดสี่มุมเมืองนั้นล้วนเป็นธุรกิจประเภทที่รับเงินสดเข้ากระเปาด้านเดียวล้วนๆ
ธุรกิจที่กลุ่มนี้มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือธนาคารเอเชียและกิจการเซรามิก
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญของนักธุรกิจทั่วไป แต่สำหรับกลุ่มนี้ดูเหมือนจะไม่มีความหมายเท่าใดต่อการทำธุรกิจของพวกเขา
ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในกิจการเซรามิกของครอบครัวคือ ประดิษฐ์
ภัทรประสิทธิ์
เขารักธุรกิจนี้มากและมีความใฝ่ฝันที่จะสร้างแบรนด์เนม "ภัทรา/PATRA"
ให้มีชื่อเสียงในระดับโลก กล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้บุกเบิกกิจการเซรามิกของครอบครัวตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเอเชียพอร์ซเลนอุตสาหกรรมเมื่อ
8 ปีก่อน
ปัจจุบันประดิษฐ์เป็นประธานคณะกรรมการจัดการกลุ่มภัทราเซรามิกซึ่งมีบริษัทในเครือ
4 แห่งคือภัทรา เซรามิก, ภัทรา พอร์ซเลน, ภัทรารีแฟรกทอรี่ และภัทรามาร์เก็ตติ้งชื่อ
ประสงค์ ภัทรประสิทธิ์ น้องชายคนหนึ่งของประดิษฐ์เป็นผู้ดูแล
เซรามิก พอร์ซเลน และรีแฟรกทอรี่ต่างเป็นกิจการที่กลุ่มนี้เทกโอเวอร์กิจการของบริษัทเอเชียพอร์ซเลนอุตสาหกรรม,
เอเชียเทเบิลแวร์อุตสาหกรรม และเอเชียรีแฟรกทอรี่อุตสาหกรรม ตามลำดับแล้วเปลี่ยนชื่อและปรับโครงสร้างใหม่โดยตั้ง
บริษัทภัทรา มาร์เก็ตติ้ง ขึ้นเพื่อดูแลการตลาดให้กับทั้ง 3 บริษัทเมื่อปี
2535
ในกิจการเซรามิกนั้นกลุ่มภัทราใช้เทคโนโลยีของ JMP-Newcor Inc. จากสหรัฐซึ่งได้เข้ามาร่วมถือหุ้นด้วยจำนวนร้อยละ
20 ภัทรา เซรามิกผลิตเซรามิกประเภทสโตนแวร์ สินค้าประมาณ 80% ใช้แบรนด์เนม
Newcor เพื่อจำหน่ายต่างประเทศและบางส่วนก็มีจำหน่ายในประเทศ ส่วนสินค้าเซรามิกที่เหลือ
ใช้ แบรนด์เนม House & Home ส่วนมากเป็นชุดถ้วยหู (Mug) เพื่อจำหน่ายในประเทศ
ผลิตภัณฑ์เซรามิกมี 4 ประเภท คือ ดินเผาธรรมดา สโตนแวร์ ซึ่งถือเป็นระดับกลาง
พอร์ซเลนเป็นเซรามิกเนื้อขาวมีคุณภาพสูงกว่าสโตนแวร์ มีความโปร่งใสกว่า และมีความแกร่งสูงกว่าราคาก็แพงกว่าสโตนแวร์ประมาณ
40% พอร์ซเลนระดับดีที่สุดเรียกไฟน์ พอร์ซเลน
เซรามิกระดับสูงสุดคือโบนไชน่า (Bone China) เป็นขั้นสูงสุดในกรรมวิธีการผลิตเซรามิก
มีการผสมกระดูกสัตว์และเนื้อเซรามิกจะออกสีเหลือง โบนไชน่าจะมีราคาแพงกว่าพอร์ซเลนประมาณ
30%
พิพัฒน์ บุษราคัมวดี ผู้บริหารในภัทรามาร์เก็ตติ้งเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"
ว่า "ในส่วนของภัทราพอร์ซเลนก็มีโครงการที่จะทำเซรามิกประเภทโบนไชน่าด้วยโดยได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก
BOI แล้ว"
ปัจจุบันพอร์ซเลนที่กลุ่มภัทราใช้แบรนด์เนมภัทรา (PATRA) จำหน่ายต่างประเทศเป็นส่วนมากเทคโนโลยีสำหรับพอร์ซเลนนั้น
กลุ่มภัทรา ได้รับจากบริษัทนิคโก้คัมปานี (NIKKO) บริษัทญี่ปุ่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีพอร์ซเลนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดรายหนึ่งของโลกมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้มากกว่า
100 ปี
ประดิษฐ์เป็นผู้ดึงนิคโก้เข้ามาร่วมทุนและให้ความช่วยเหลือเรื่องเทคโนโลยี
ผลิตภัณฑ์ภัทราใช้แบรนด์เนม PATRA แต่จะมีการเขียนกำกับด้วยว่า Technology
by Nikko
นิคโก้เป็นผู้ร่วมทุนในภัทราพอร์ซเลนด้วยจำนวน 10%
ในบรรดากิจการ 4 อย่างนี้ ภัทราเซรามิกเป็นประหนึ่งบริษัทแม่ เพราะเป็นผู้ถือหุ้นในตัวพอร์ซเลนจำนวน
60 % แต่ต่อมาลดจำนวนลงเหลือ 40% เมื่อปี 2535 โดยขายให้บงล.เจ้าพระยา 10%
และประดิษฐ์เข้ามาถือในนามส่วนตัว 10%
รายได้ที่เกิดจากการขายหุ้น 20% นี้ได้นำไปซื้อหุ้นในบริษัทกรมดิษฐ์ จำนวน
53% บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจให้เช่าอาคารสำนักงานที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ซึ่งกลุ่มภัทราเล็งจะใช้เป็นที่ทำการกลุ่มแห่งใหม่
พิพัฒน์เปิดเผยว่า "แนวโน้มการแข่งขันเซรามิกในประเทศยังไม่รุนแรงนัก
โดยเฉพาะตัวพอร์ซเลนซึ่งนอกจากภัทราแล้วก็มีผู้ผลิตอีกเพียงรายเดียวเท่านั้น
ส่วนพอร์ซเลนที่นำเข้าจากต่างประเทศนั้นจะมีราคาสูงมากและวางจำหน่ายเฉพาะห้างสรรพสินค้าใหญ่"
อาจกล่าวได้ว่าสินค้าเซรามิกประเภทสโตแวร์ของกลุ่มนี้ JMP จะเป็นผู้ทำตลาดให้ในอเมริกา
ส่วนพอร์ซเลน JMP ดูแลตลาดยุโรปตอนล่างและตอนกลาง นิคโก้จะทำตลาดในสหรัฐฯ
และตลาดเอเชียนั้นภัทรามาร์เก็ตติ้งจะรับผิดชอบจำหน่ายทั้งสโตนแวร์อื่น เช่น
โบนไชน่าที่มีโครงการจะผลิตในอนาคต
ภัทรา พอร์ซเลน ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 800,000 ชิ้นต่อเดือน มีโครงการจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น
1 ล้านชิ้นต่อเดือนในปีนี้ พิพัฒน์เปิดเผยว่า "กำลังการผลิตขนาดล้านชิ้นต่อเดือนเป็นกำลังการผลิตที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
หากมากกว่านี้จะมีปัญหาเรื่องการควบคุมกำลังการผลิตในระดับนี้ ขณะที่แบรนด์เนมระดับโลกรายอื่น
เช่น Noritake ในระยะหลังมียอดขายดีมาก ใช้วิธีให้โรงงานอื่นทำมาแล้วติดแบรนด์เนมของตน"
ในแง่ของผลการดำเนินงานนั้น ปรากฏว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2535 ภัทรา
เซรามิกมีผลกำไรตกต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2534 ถึง 4 เท่า คือมีกำไรสุทธิเพียง
8.92 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 41.1 ล้านบาท
ปัญหาสำคัญที่ทำให้ผลกำไรตกต่ำลงมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐในระยะ 2-3
ปีที่ผ่านมาทำให้บริษัทไม่สามารถปรับราคาสินค้าปีละ 5% นอกจากนี้บริษัทยังต้องการรับภาระต้นทุนสูงขึ้นในเรื่องของแรงงานและต้นทุนการผลิต
วีรวัฒน์ ชลวณิช ประธานกรรมการบริหารภัทรา เซรามิก เปิดเผยว่า "บริษัทได้มีการจัดตั้ง
Central Technical เป็นฝ่ายที่พัฒนาเทคนิคการผลิตเพื่อให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงโดยเฉพาะเรื่องปรับเปลี่ยนสูตรเนื้อดินซึ่งกำลังมีการทดลองอยู่
ฝ่ายพัฒนานี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องภาระต้นทุนสูงของบริษัท"
ในส่วนของกิจการพอร์ซเลนนั้นมีการตั้งเป้ายอดขายปี 2536 ไว้ที่ 400 ล้านบาททั้งในและต่างประเทศและในอนาคตมีโครงการที่จะนำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ด้วย