"ตลาดทุน เอเชีย-แปซิฟิก ปี 1993/2536 เพิ่มความคุ้มครองนักลงทุนมากขึ้น"


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

กลุ่มตลาดทุนของบริษัทอาร์เธอร์แอนเดอร์เซ่น ซึ่งทำธุรกิจด้านบริการตรวจสอบบัญชีเปิดเผยข้อสรุปจากงานวิจัยเรื่องภาพรวมการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในเอเชีย-แปซิฟิก ว่ากฎระเบียบของตลาดเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2536 ขณะที่บรรดากิจการต่างๆ จะเข้ามาระดมทุนกันมากขึ้น

กาญจนา นิมมานเหมินท์ กรรมการบริษัท ที่ปรึกษากฎหมายและภาษีอากร เอสจีวีเอ็น ซึ่งเป็นตัวแทนของอาร์เธอร์แอนเดอร์เซ่นในประเทศไทย และเป็นผู้รับผิดชอบงานวิจัยในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทย เปิดเผยว่า "กฎระเบียบของตลาดทุนในภูมิภาคนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในแนวโน้มที่ให้ความคุ้มครองแก่นักลงทุนมากขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการระดมทุนมากขึ้นด้วย"

กฎระเบียบของตลาดทุน เอเชีย-แปซิฟิก จะเปลี่ยนไปในทางที่เข้มงวดมากขึ้นในเรื่องการใช้ข้อมูลวงในเพื่อการซื้อขายหุ้นหรืออินไซเดอร์ เทรดดิ้ง ให้การคุ้มครองนักลงทุนมากขึ้น เข้มงวดเรื่องการซื้อขายหุ้นนอกงบดุล รวมทั้งกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและการดำเนินการในประเด็นที่จะมีการลดความเข้มงวดลงหรือปล่อยเสรีมากขึ้นได้แก่ การผนวกกิจการ การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่างประเทศ และการมีส่วนร่วมของนักลงทุนต่างประเทศ

งานวิจัยชิ้นนี้ใช้เวลาทำนาน 12 เดือน โดยอาศัยข้อมูลจากแบบสอบถามที่ส่งไปสัมภาษณ์เหล่าผู้บริหารในธุรกิจตลาดทุนมากกว่า 500 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล นักวิชาการ และผู้สังเกตการณ์ตลาดทุนจาก 12 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก สหรัฐฯ และยุโรป

ข้อมูลจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าในระยะ 10 ปีข้างหน้า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะมีความต้องการเงินทุนอย่างมาก เพราะรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ต้องการเงินเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค เช่น ระบบการขนส่งและระบบไฟฟ้าในจีน โดยแหล่งเงินทุนใหญ่ที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้จะมาจากยุโรป ข้อสรุปนี้ต่างจากความเชื่อทั่วไปที่ว่าภูมิภาคนี้มีเงินทุนเพียงพอกับความต้องการแล้ว

นอกจากนี้ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นแนวโน้มที่ว่าการดำเนินการของผู้ที่เกี่ยวข้อง กับตลาดทุนในภูมิภาคนี้จะมีลักษณะมืออาชีพมากขึ้น เพราะมีความต้องการข้อมูลข่าวสารที่ทันเหตุการณ์และน่าเชื่อถือยกตัวอย่างเช่น การตรวจสอบบัญชีของกิจการต่างๆ จะต้องยกระดับเข้าสู่มาตรฐานสากลเพื่อที่ว่านักลงทุนจะได้อ่านงบการเงินที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน สามารถรู้สถานะการประกอบการที่แท้จริงของกิจการเหล่านั้น

การลงทุนในหลักทรัพย์ประเภททุน (Equity Market) ในตลาดเอเชีย-แปซิฟิก เป็นการลงทุนที่น่าสนใจที่สุดในโลก ตลาดหลักทรัพย์ประเภททุนในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีส่วนแบ่งร้อยละ 6 ของตลาดโลก และมีอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 5 โดยปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่กระตุ้นการเติบโตของตลาดนี้คือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นธุรกิจเอกชนซึ่งประเทศไทยก็มีแนวโน้มน้เช่นกัน

ข้อที่น่าสนใจประการหนึ่งจากงานวิจัยคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนให้ความสนใจต่อการพัฒนาตลาดการเงินประเภทหนี้ของสถาบัน (Corporate Debt) อย่างมาก แต่โดยข้อเท็จจริงตลาดการเงินประเภทนี้ยังไม่เติบโตอย่างแท้จริง เป็นที่คาดหมายว่าใน 5 ปีข้างหน้าการกู้ยืมเงินจากธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ จะยังคงมีอยู่สูง ขณะที่การออกตราสารหนี้ของกิจการใหญ่ๆ ยังไม่สามารถทำได้เพราะตลาดที่จะรองรับยังไม่เติบโตแข็งแรงพอ

ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนได้ให้ความเห็นในแบบสอบถามครั้งนี้ด้วย ว่าอิทธิพลของบริษัทอเมริกันในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะลดน้อยถอยลง สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1980-1989

สถาบันการเงินของสหรัฐฯ พยายามลดทอนบทบาทของตนกระทั่งถอนตัวออกจากตลาดระหว่างประเทศ พวกเขาจึงสูญเสียโอกาสในการเข้ามามีส่วนร่วมกับการเติบโตของภูมิภาคนี้

แนวโน้มของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่สวนทางกับสถาบันการเงินของยุโรปซึ่งมองการณ์ในระยะยาว พวกเขาสนใจที่จะพัฒนาไปพร้อมกับการพัฒนาเติบโตของตลาดทุนเอเชีย-แปซิฟิก

สำหรับตลาดทุนในประเทศไทยนั้นก็เป็นตัวหนึ่งที่สะท้อนกระแสความเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบของตลาดทุนเอเชีย-แปซิฟิก ได้อย่างชัดเจน

มีการใช้กฎหมาย ก.ล.ต.เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 และมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เช่น กรณีการจับนักปั่นหุ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะพัมนาตลาดทุนในหลายๆ ด้าน ในทางที่จะให้ความคุ้มครองแก่นักลงทุนมากขึ้น มีการสนับสนุนการพัฒนาตราสารการเงินใหม่ๆ ส่งเสริมการตั้ง OTC เป็นต้น

ข้อที่น่าสนใจกับงานวิจัยประเทศไทยคือ ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทยมองว่าตลาดบ้านเรายังพัฒนาไม่เต็มที่ทั้งที่มีความต้องการอย่างมาก ที่จะพัฒนาให้ได้มาตรฐานตามแบบอย่างของตลาดระหว่างประเทศแต่ความรู้ความชำนาญในตลาดทุนไทยยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับตลาดทุนอื่นๆ เพราะกฎระเบียบของตลาดทุนไทยยังต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอีกมาก โดยเฉพาะพฤติกรรมของนักลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะสั้นเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างมาก

ขณะที่ผู้บริหารตลาดทุนจากเอเชีย-แปซิฟิกเห็นว่าไทยและมาเลย์เป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในภูมิภาคนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญตลาดทุนจากอเมริกามองว่าจีนน่าลงทุนมากที่สุด ขณะที่ทางยุดรปนั้นมองว่าจีนและเวียดนามน่าลงทุนมากที่สุด สาเหตุเพราะ 2 ประเทศนี้เป็นตลาดที่ใหญ่มากและเป็นตลาดเกิดใหม่ด้วย

นอกจากนี้ยังมีแรงงานราคาถูกและมีเสถียรภาพทางการเมืองอย่างมาก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.