|
UMSเล็งลงทุนงานโลจิสติกส์ คาดปีนี้ยังเติบโตไม่ต่ำกว่า 30%
ผู้จัดการรายวัน(3 มกราคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
UMS คาดปี 50 เติบโตระดับไม่ต่ำกว่า 30% จากปี 49 เผยแผนงานปีหน้ามีโครงการที่จะลงทุนอีก 3 โครงการ มูลค่าลงทุนโครงการละประมาณ 300 ล้านบาท โดยงานแรกเล็งลุยธุรกิจลอจิสติกส์เพื่อความต่อเนื่องและหนุนการทำธุรกิจ เผยรอเพียงจังหวะและโอกาสที่เอื้อต่อการลงทุน ส่วนเงินทุนพร้อม
นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการบริหาร บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด(มหาชน) (UMS) เปิดเผยว่าปีหน้าบริษัทจะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 30% แม้ว่าปีนี้แผนการเปิดท่าเทียบเรือจะผิดจากเป้าหมายไปก็ตาม เพราะติดปัญหากับชาวบ้านในเขตดังกล่าว แต่หลังจากเคลียร์ได้จนเป็นที่เข้าใจดีแล้ว ก็ทำให้บริษัทสามารถดำเนินการได้เริ่มปีหน้าเป็นต้นไปหลังจากล่าช้ามาเกือบครึ่งปี
สำหรับการที่บริษัทได้เปิดท่าเทียบเหรือตามแผนแล้วนั้น จะส่งผลดีต่อต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะลดลงได้ประมาณ 10% แต่บริษัทก็ยังต้องเน้นลดต้นทุนการดำเนินงานด้วย เพราะปี 50 แนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาลพอจะมองได้ว่าเน้นความพอเพียง อันเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทด้วยเช่นกัน
"แต่เราก็มองโอกาสในการลงทุนของเราด้วยเสมอหากมีโอกาสและเศรษฐกิจเอื้อต่อการลงทุนหรือขยายงาน เพราะเม็ดเงินเพื่อการขขายงานลงทุนเรามีเพียงพอที่จะใช้ได้อยู่แล้ว เพียงแต่เราเน้นระมัดระวังเป็นพิเศษ " นายชัยวัฒน์กล่าว
เนื่องจากปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E RATIO) ต่ำกว่า 1 เท่า และนโยบายของบริษัทคือตัวเลขนี้ต้องไม่เกิน 2 เท่า นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวเลขนี้ของ UMS ยังสามารถก่อหนี้ได้อีกพอสมควร ขณะที่กระแสเงินสดของบริษัทมีอยู่ประมาณ 300-400 ล้านบาท แต่หากต้องการลงทุนเพิ่มก็อาจมีการกู้จากสถาบันการเงินเพิ่มได้ โดยปี 50 UMS มีแผนที่จะขยายงานอีก 3-4 โครงการ โดยแต่ละโครงการจะใช้เงินทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท
"เราจะทำในสิ่งที่ต่อเนื่องกับธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ แต่บอกได้ยาก เพราะโอกาสเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าไม่เอื้อเราก็นิ่ง ๆ ตามขั้นตอนของเรา แต่หากมีโอกาสเราก็ลุยทันที เพราะจัวหวะเรารอเสมอ และเราก็มองสร้างท่าเทียบแรือและคลังสินค้าแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มสต๊อกสินค้าและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงาน ทำให้ต้นทุนเราลดลงด้วย เพราะปัจจุบันเชื้อเพลิงน้ำมันปรับสูงขึ้นจากก่อนหน้า ผู้ประกอบการต่างหันมาใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นก็ดีกับเรา " นายชัยวัฒน์กล่าว
โครงการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นธุรกิจของลอจิสติกส์ เนื่องจากการส่งสินค้าจำหน่ายให้กับลูกค้า จำเป็นต้องขนส่ง ซึ่งบริษัทต้องการลดต้นทุนทางการขนส่งด้วย หากมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนี้จะเอื้อต่อธุรกิจของตนเองด้วย ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงUMS ลุยโครงการนี้ก่อนแน่นอน การจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจด้านนี้ จึงไม่ไกลเกินจริงแล้ว เพียงรอโอกาสและจังหวะในการลงทุนเท่านั้น ส่วนอีก 2 โครงการนั้น ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดออกมา บอกแต่เพียงว่าเมื่อโอกาสมาถึง UMS ก็พร้อมลุยงานใหม่เพื่อสร้างเงินเพิ่มทันที
นายชัยวัฒน์กล่าวถึงแผนการขายถ่านหินว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ เพื่อที่จะจำหน่ายสินค้าให้ได้ในราคา SPOT ซึ่งการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้ารายใหญ่แม้มาร์จิ้นต่ำกว่าคือ 5-7% แต่ก็ได้ปริมาณมากกว่าลูกค้ารายกลางและย่อยที่จำหน่ายปริมาณน้อย แต่มาร์จิ้นสูงกว่า 20 -30 % ซึ่งปัจจุบันลูกค้าของ UMS เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังเปลี่ยนมาใช้เตาบอยล์เลอร์ใหม่เพื่อมาใช้ถ่านหินแทนน้ำมัน และลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงเป็นรายกลางและเล็ก แต่ปีหน้า UMS ก็จะหาลูกค้ารายใหญ่เพิ่ม
สำหรับ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของปี 50 คาดว่าจะอยู่ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 10% อันเป็นผลจากความพยายามในการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ขณะที่ UMS คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) ปีหน้าจะลดลงจากปีนี้ที่มี 30% เหลือเพียง 25-30% เนื่องจากบริษัทฯ หันมาเน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่าลูกค้าระดับกลางและล่าง
สำหรับราคาหุ้นที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานนั้น เพราะนักลงทุนไม่ได้มองที่พี/อี ของ UMS ที่ต่ำเพียง 5-6 เท่า ซึ่งกว่า พี/อี ตลาดซึ่งอยู่ที่ 8-10% เท่า และผลตอบแทนในรูปของการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของบริษัทที่เทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai บริษัทก็ติดอันดับเสมอมาด้วย หากนักลงทุนพิจารณาและเข้าใจ ราคาหุ้น UMS ที่เทรดในระดับนี้ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับอะไรหลายอย่างจากผลงานของบริษัท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|