"Ecip แหล่งเงินราคาถูกจากยุโรปมาแล้ว"


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

"เงินทุนเพื่อที่จะเอามาใช้ในการลงทุนในประเทศไทย มันเกินความสามารถในการออมที่เกิดขึ้นภายในประเทศ" เป็นคำกล่าวของเจ้าหน้าที่แบงก์ชาติท่านหนึ่ง ที่กำลังมองถึงปัญหาการลงทุนของไทย

ยิ่งหากจะมองออกไปในวันข้างหน้า การกีดกันทางการค้าด้วยการแบ่งเป็นกลุ่มประเทศไม่ว่าจะเป็นเขตการค้าเสรียุโรป เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือแม้แต่ในกลุ่มประเทศเอเชียเองก็ตาม นับวันจะเข้มข้นขึ้น ประเทศไทยยิ่งต้องทวีความจำเป็นลงทุนผลิต สินค้าเพื่อการส่งออกใช้เป็นมาตรฐานในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ของประเทศมากขึ้น

ความต้องการใช้เงินทุนที่มีราคาถูกในการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันส่งออกจึงมีความสำคัญมาก

จะเห็นได้ชัดว่าผู้ประกอบการไทยมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินจากต่างประเทศอีกมากมาย เนื่องจากเป็นแหล่งเงินทุน ราคาถูกมากกว่าร้อยละ 3-4% เมื่อเทียบกับแหล่งเงินบาทในประเทศ

เท่าที่ผ่านมาการไหลเข้ามาของแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศจึงมีมากมาย โดยเฉพาะเป็นเงินที่มากับโครงการช่วยเหลือจากต่างประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในประชาคมยุโรป

แหล่งเงินจากต่างประเทศเหล่านั้นไหลเข้ามาใน 2 รูปแบบคือ

หนึ่ง ในรูปของการช่วยเหลือแบบให้เปล่าประเทศกำลังพัฒนาระหว่างภาครัฐบาลต่อรัฐบาล เช่นเงินให้เปล่าที่ให้ผ่านมาทางกรมวิเทศสหการของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการต่างๆ

สอง แหล่งเงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้ความช่วยเหลือผ่านมาทางสถาบันการเงินของรัฐ เช่น แบงก์กรุงไทยเพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการลงทุนสาธารณูปโภคของรัฐบาล ซึ่งให้กู้โดยอัตราดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) หรือจะเป็นสถาบันการเงินที่มีหน้าที่หาเงินราคาถูกจากต่างประเทศ เช่น สถาบัน KfW ของเยอรมนี เพื่อนำมาส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมในประเทศ อย่างบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT)

ล่าสุด "ผู้จัดการ" ทราบว่าประชาคมยุโรป หรือ EC ก็ได้เสนอโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินอีกโครงการหนึ่งภายใต้ชื่อ European Community Investment Partners (ECIP) โดยผ่าน IFCT

ECIP ได้ส่งคณะผู้แทนประกอบด้วย ทอม โร หัวหน้าฝ่ายกิจการผู้ร่วมลงทุนของประชาคมยุโรป ดี.เดอกูตูร์ ที่ปรึกษาฝ่ายฯ กับเจ้าหน้าที่และตัวแทนของผู้ร่วมทุนซึ่งเป็นเอกชนอีกจำนวนหนึ่ง มาจัดสัมมนาร่วมกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) เพื่อให้ความรู้แก่บรรดานักธุรกิจนักลงทุนชาวไทย ถึงการให้เงินช่วยเหลือของ ECIP เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2535

รายละเอียดของการสัมมนาดังกล่าวได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของ ECIP ว่าเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ที่ประชาคมยุโรปให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมของประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งในละตินอเมริกา เอเชีย หรือกลุ่มประเทศในเมดิเตอร์เรเนียน

โครงการ ECIP ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2531 มีศูนย์กลางการบริหารอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และได้กระจายอำนาจการดำเนินการผ่านสถาบันการเงิน หอการค้า และสถาบันส่งเสริมการลงทุนของแต่ละประเทศที่เป็นเครือข่าย ซึ่งมีอยู่ทั้งในกลุ่มประชาคมยุโรป เอเชีย ละตินอเมริกา และกลุ่มประเทศในเมดิเตอร์เรเนียน

ในรายละเอียดภายใต้โครงการ ECIP กล่าวโดยสรุปนั้นมีหลักเกณฑ์คือว่า จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือทางด้านการเงินกับโครงการ หรือการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมระหว่างนักลงทุนชาวไทยกับนักลงทุนในกลุ่มประเทศประชาคมยุโรป

ในเงื่อนไขของการให้เงินช่วยเหลือ ทั้งที่เป็นเงินอุดหนุนให้เปล่า เงินกู้ระยะยาวทั้งปลอดดอกเบี้ยและมีดอกเบี้ยต่ำ ตลอดจนถึงร่วมลงทุน

โดยทั้งนี้จะแบ่งระยะของโครงการสนับสนุนทางการเงินออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าของโครงการต้องออกเงินเองส่วนหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงของโครงการนั้นๆ

ระยะที่หนึ่งของโครงการคือ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายการจัดหารผู้ร่วมลงทุน ชนิดของเงินที่จะให้การสนับสนุน คือเป็นเงินอุดหนุนให้เปล่า ซึ่งขั้นแรกนี้จะให้สิทธิเฉพาะสถาบันการเงิน หอการค้า สมาคม และหน่วยงานของรัฐ

การสนับสนุนในขั้นตอนนี้มีวงเงินให้เปล่า ไม่เกิน 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด สูงสุดไม่เกิน 100,000 อี.ซี.ยู. (ประมาณ 3,00,000 บาท)

ระยะที่สองคือการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการตั้งแต่ขั้นเตรียมการจนถึงการจัดตั้งโครงการร่วมทุน ชนิดของเงินที่จะให้การสนับสนุนคือเป็นเงินกู้ไม่มีดอกเบี้ย

ผู้มีสิทธิขอการสนับสนุนคือบุคคลหรือกิจการที่สนใจจะลงทุนในลักษณะของการร่วมลงทุนนั้นคือหลังจากสถาบันต่างๆ ที่ได้มีการเลือกสรรอุตสาหกรรมหรือนักลงทุนแล้วหรือเป้นเอกชนที่ได้มีการติดต่อเจรจาที่จะร่วมลงทุนกัน

โดยลักษณะของการดำเนินงานที่เข้าข่ายการขอสนับสนุนกล่าวคือ

1) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การศึกษาทางด้านการตลาดและการวางแผนุรกิจ

2) การจัดตั้งโครงการทดลองการผลิตสินค้าที่เรียกว่าไพล้อต โปรเจ็กต์ (Pilot Production Unit)

สำหรับวงเงินให้การสนับสนุน คือ ไม่เกิน 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือสูงสุดไม่เกิน 250,000 อี.ซี.ยู. (ประมาณ 7,500,000 บาท) แต่หากว่าหลังจากการศึกษาโครงการไปแล้วนั้นไม่สัมฤทธิผลก็จะไม่เรียกเงินคืนแต่อย่างใด แต่หากเป็นไปตามการศึกษาก็ต้องคืนให้แก่ ECIP เมื่อจะเข้าสู่ระยะที่สามของโครงการ

ลักษณะที่สามคือการเข้าร่วมทุน การช่วยเหลือด้านการเงินแก่โครงการร่วมทุน ชนิดของเงินให้การสนับสนุน เงินร่วมลงทุนหรือเงินกู้

ผู้มีสิทธิขอการสนับสนุนคือกิจการร่วมทุนระหว่างนักลงทุนไทย และนักลงทุนจากประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรปหรือกิจการที่มีการใช้ Licensing และ Technical Assistance จากบริษัทในกลุ่มประชาคมยุโรป

ลักษณะของการดำเนินงานที่เข้าข่ายการขอสนับสนุนคือ

1) การจัดตั้งโครงการร่วมลงทุนใหม่

2) การปรับปรุงหรือขยายงานสำหรับโครงการร่วมทุนที่ดำเนินการอยู่แล้ว

สำหรับวงเงินที่ให้การสนับสนุนคือ ไม่เกิน 20% ของทุนจดทะเบียนของโครงการร่วมทุหรือสูงสุดไม่เกิน 1,000,000 อี.ซี.ยู. (ประมาณ 30,000,000 บาท) เช่นเดียวกันซึ่งหลังจากการเข้าร่วมทุนประสบผลสำเร็จแล้วก็ทยอยคืนให้เมื่อได้เข้าสู่โครงการในระยะสุดท้าย

คือ การดำเนินงานของโครงการโดยจะให้ความช่วยเหลือด้านบริหารและการจัดการแก่โครงการร่วมทุน ชนิดของเงินในการสนับสนุน เป็นเงินร่วมลงทุนหรือเงินให้กู้

ลักษณะของการดำเนินงานที่เข้าข่ายการขอสนับสนุนคือ

1) การฝึกอบรมช่างเทคนิคไทยและผู้จัดการในบริษัทร่วมทุนนั้น

2) การจัดหาผู้บริหารที่มีความสามารถจากประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรปเพื่อเข้ามาจัดการและบริหารกิจการร่วมทุนนั้น

3) การว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลือด้านการจัดการ

โดยมีวงเงินให้การสนับสนุนไม่เกิน 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือสูงสุดไม่เกิน 250,000 อี.ซี.ยู.(ประมาณ 7,500,000 บาท) การกำหนดคืนจะทยอยคืนเงินเมื่อธุรกิจดำเนินกิจการได้ผลกำไรแล้ว

จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาโครงการช่วยเหลือทางการเงินของ ECIP เป็นที่ต้องการของการลงทุนทั้งในประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรป โดยมีจำนวนโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก ECIP มีเพิ่มขึ้นทุกปีคือจาก 285 โครงการ ในปี 2534 เพิ่มขึ้นเป็น 45 โครงการในปี 2535 โดยเป็นโครงการที่อยู่ในเอเชียถึง 170 โครงการ

สำหรับในประเทศไทยนั้นผู้ประกอบการที่สนใจขอความช่วยเหลือทางการเงินจำเป็นต้องดำเนินการผ่าน IFCT ซึ่งเป็นสถาบันการเงินคู่สัญญา IFCT จะมีหน้าที่ในการพิจารณาธุรกิจที่จะขอเข้าร่วมโครงการ และอนุมัติวงเงินตามเงื่อนไขของโครงการแก่นักลงทุนต่างๆ เหล่านั้น แต่การพิจารณาเงื่อนไขทางด้านการเงินดังกล่าวไปแล้วจะทำเป็นกรณีๆ ไป ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินคู่สัญญา อย่างเช่นระยะเวลาของการชำระคืน หรือการอนุมัติวงเงิน

ปัจจุบันมีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการของ ECIP ที่ผ่าน IFCT แล้วหนึ่งรายซึ่งได้ได้ดำเนินการผ่านระยะที่สองของโครงการไปแล้วและกำลังเข้าสู่โครงการในระยะที่สาม คือเป็นบริษัทร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเซรามิก

และมีอีก 4 บริษัทที่กำลังอยู่ระหว่างการเสนอโครงการให้ IFCT พิจารณาเพื่อดำเนินการในขั้นที่สอง แต่ยังไม่ได้เปิดเผยประเภทของอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม โครงการ ECIP หากจะมองให้ลึกแล้วนั้นกิจกรรมดังกล่าวก็คือเครื่องมือที่ประชาคมยุโรปหรือ EC เล็งเห็นผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นทางตรงและทางอ้อมต่อตลาดไทย ซึ่งทางตรงก็คือผลตอบแทนที่ ECIP จะได้จากอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยเงินกู้สำหรับโครงการต่างๆ หรือผลตอบแทนในการร่วมลงทุน ส่วนผลทางอ้อมนั้นประเทศที่เข้าร่วมในโครงการจะถือเป็นตลาดของประเทศใน EC เพื่อที่จะใช้ระบายสินค้าหรือไม่ก็เป็นผู้ที่ซื้อเทคโนโลยีจากประเทศใน EC เพราะหลังจากที่ยุโรปประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำจำเป็นต้องมีการส่งเสริมการส่งสินค้าออกมามากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์เฉพาะประเทศใน EC เท่านั้น หลังจากการรวมตัวของยุโรป ในปี 1992 ถูกมองว่าจะเป็นกำแพงการกีดกันทางการค้า โครงการ ECIP จึงถือเป็นโอกาสเปิดของนักลงทุนไทยที่จะสามารถเจาะเข้าตลาด EC โดยใช้สะพานสินเชื่อจากการให้ความช่วยเหลือของ ECIP



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.