"แลนดี้ฯ"รับงานจัดสรร ขยับรายได้โครงการ25%


ผู้จัดการรายวัน(3 มกราคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

“แลนดี้ โฮม” เผยแผนปีธุรกิจปีกุน (2550) เร่งเพิ่มสัดส่วนรับงานโครงการบ้านจัดสรรจากเดิม10%เป็น 25% ระบุตลาดรวมปีนี้ยังอึมครึม เชื่ออัตราเติบโตไม่ต่างจากปี2549 แจงชะลอแผนผุดโรงงานผลิตระบบก่อสร้างสำเร็จรูป(พรีแฟบ) หันเพิ่มปริมาณ(วอลูม)รับงานก่อสร้างรุกตลาดรับสร้างบ้านต่ำกว่า1ล้านบาท-โครงการจัดสรร เหตุตลาดรวมยังชะลอตัวอยู่

นายพิเชษฐ มณีรัตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี2549 ว่า ค่อนข้างชะลอตัวทำให้ยอดขายของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านในตลาดส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการสร้างบ้านออกไป หลังจากได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง ประกอบกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่เติบโตในอัตราที่ลดลง รวมถึงภาวการณ์เมืองที่อึมครึม ส่งผลให้ผู้บริโภคเลื่อนการก่อสร้างบ้านออกไปในปี2550 ซึ่งในส่วนของบริษัทฯได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน ทำให้ยอดขายของบริษัทตกเป้า 5-10% จากเป้ายอดขายรวมทั้งปีที่วางไว้ 500 ล้านบาท

ส่วนในปี2550 คาดว่าตลาดรวมจะยังทรงตัวในระดับเดียวกับปี2549 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองยังไม่ชัดเจน คาดว่าในปี2550 เศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับผลกระทบหลายๆด้าน ประกอบกับรัฐบาลในชุดปัจจุบันเป็นรัฐบาลรักษาการ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้คล่องตัวมากนัก นอกจากนี้การอนุมัติงบประมาณ และการดำเนินการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ก็จะชะลอออกไป ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ขยายตัวเท่าที่ควร ดังนั้นจึงเชื่อว่าตลาดโดยรวมจะไม่เติบโตไปมากกว่าปี49

ทั้งนี้ ในส่วนของแลนดี้ โฮม ตั้งเป้าว่าปี2550 บริษัทจะมียอดขายเติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมา คือ มียอขายอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท โดยรายได้ดังกล่าวจะมาจากการรับสร้างบ้านให้ลูกค้ารายย่อยในสัดส่วน 75% ส่วนที่เหลืออีก 25% จะมาจากการรับสร้างบ้านในโครงการจัดสรร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 15% และในอนาคตบริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากการรับงานบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าในตลาดรวมของโครงการบ้านจัดสรรในปี2550 มีแนวโน้มบ้านเดี่ยวจะมีการชะลอตัวค่อนข้างมาก ทำให้มีโครงการเปิดใหม่ลดลง แต่การที่บริษัทตั้งเป้าว่าจะรับงานโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการสวนกระแสตลาดนั้น เพราะว่าบริษัทมีงานรับสร้างบ้าน (สต็อก)งานไว้ในมือแล้ว ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะมีสัดส่วนจากการรับงานโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มมากขึ้น

นายพิเชษฐ กล่าวว่าสำหรับการรับงานในโครงการจัดสรรในปี49 บริษัทมีลูกค้าโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 2-3 โครงการ แต่เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็กจึงทำให้มียอดรายได้ไม่มากนัก ส่วนในปี2550 บริษัทมีลูกค้าโครงการบ้านจัดสรรที่จะเข้าไปก่อสร้างบ้านให้2-3โครงการเช่นกัน แต่เป็นโครงการที่มีจำนวนยูนิตมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีจำนวนบ้าที่ต้องก่อสร้างในโครงการจัดสรรรวมประมาณ 50 ยูนิต

ส่วนในตลาดรับสร้างบ้านรายย่อยนั้น บริษัทจะยังเน้นเจาะตลาดระดับราคา 1-10 ล้านบาทเช่นเดิม โดยคาดว่าตลาดระดับ 1-3 ล้านบาทจะยังเป็นกลุ่มที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัท สำหรับบ้านระดับ 10ล้านขึ้นนั้น บริษัทจะยังไม่เข้าไปก่อสร้างให้แก่ลูกค้า เพราะไม่พร้อมและมีจำนวนความต้องการไม่มาก ในขณะที่บ้านระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น แต่เนื่องจากผลตอบแทนในตลาดระดับดังกล่าวค่อนข้างต่ำ ทำให้ต้องมีปริมาณจำนวนมากๆในการรับงาน ทำให้บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีในการก่อสร้างให้ทันสมัยและรวดเร็วมากขึ้น เพื่อให้สามารถรับงานในปริมาณที่สูงขึ้นได้

ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะพัฒนาโรงงานผลิตระบบก่อสร้างสำเร็จรูป(พรีแฟบ) โดยอาจะเป็นการต่อยอดกับโรงงานผลิตชิ้นส่วน วัดสุก่อสร้างของบริษัทในเครือ หรือ อาจจะเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถผลิตชิ้นส่วนบ้านหน้างานโครงการได้เลย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแบบบ้านที่บริษัทพัฒนาออกมามีรูปแบบที่แตกต่างกัน ทำให้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปไม่สามารถรองรับการก่อสร้างตามแบบที่ลูกค้าต้องการได้ บริษัทจึงชะลอแผนการก่อสร้างโรงงานพรีแฟบออกไปก่อน

“ หากเราจะนำระบบพรีแฟบเข้ามาใช้อย่างเต็มรูปแบบก็จะต้องพัฒนาโครงการจัดสรรเอง หรือรับงานจัดสรรเพิ่มขึ้นด้วย แต่เนื่องจาก ตลาดในปี50 นั้นแนวโน้มยังชะลอตัวอยู่ การจะนำระบบพรีแฟบมาใช้ในช่วงนี้จึงยังไม่คุ้มกับการลงทุน ซึ่งหากตลาดกลับไปขยายตัวดีแล้วเราอาจจะนำระดับดังกล่าวมาใช้ก็เป็นได้” นายพิเชษฐ กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.