|
ตลาดหุ้นปีกุนไม่"หมู" เจอเกณฑ์ธปท.ป่วน-โบรกฯแห่ลดเป้าดัชนี
ผู้จัดการรายวัน(3 มกราคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นไทยปีกุนไม่ "หมู" เหมือนชื่อ หลังเจอมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของแบงก์ชาติ บรรดาโบรกเกอร์ทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ แห่ปรับลดเป้าดัชนี เฉลี่ยแล้วลดลงกว่า 50 จุด อยู่ระหว่าง 740-795 จุด ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนโรดโชว์ดึงนักลงทุนต่างชาติกลับ ขณะที่นักวิเคราะห์ สวดยับสูญเสียโอกาสทำให้ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แนะให้ลงทุนหุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูง "แบงก์-โรงแรม-โรงพยาบาล"
19 ธันวาคม 49 นับเป็นเหตุการณ์ช็อกวงการตลาดหุ้นไทย เมื่อดัชนีตลาดหุ้นทรุดตัวลงมาหนักถึง 108 จุดภายในวันเดียว หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทระยะสั้น โดยสั่งให้สำรองเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศในสัดส่วน 30% ส่งผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศกระหน่ำเทขายหุ้น 2.5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของตลาดหุ้นไทยในช่วงระยะเวลา 31 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนเปรียบเทียบกับสึนามิตลาดทุน ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ทำให้มาร์เกตแคปของตลาดทุนไทยหายวูบถึง 8 แสนล้านบาท แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการ โดยยกเว้นเงินลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากยังมีการเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีหน้า
เดิมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ค่ายต่างๆ ได้ทำนายทิศทางหุ้นต่างในปี 50 ว่าจะสดใสดัชนีมีโอกาสขึ้นไปแตะ 800 จุดได้สบายๆ หลังจากปัจจัยที่เคยกดดันดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ได้คลี่คลายและมีความชัดเจนมากขึ้นกลับมาเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นการลงทุนไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และดอกเบี้ยที่มีสัญญาณปรับตัวลดลง รวมถึงปัจจัยการเมืองที่ยืดเยื้อมานาน ซึ่งเป็นแรงหนุนให้การเติบโตภาคเศรษฐกิจไทยในปีหน้าโตในระดับที่ดีจึงส่งผลดีต่อภาคตลาดทุนด้วย
แต่พอเกิดเหตการณ์อังคารทมิฬ ทำให้โบรกเกอร์หลายค่ายได้เตรียมการที่จะมีการปรับประมาณการดัชนีปีหน้าลดลง โดยต้องลุ้นว่าต่างชาติใช้เวลานานแค่ไหนจะคลายความกังวลและกลับมามีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกรอบ
โดยโจทย์ที่สำคัญในปีหน้าที่ทุกหน่วยงานภาคตลาดทุนที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือการทำความเข้าใจ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเชื่อว่าในช่วงต้นปีภาวะตลาดหุ้นจะซึมๆ ซึ่งต้องลุ้นกันว่านักลงทุนต่างชาติจะใช้เวลาในนานเท่าไรที่จะมีความเชื่อมั่นกลับเข้ามาลงทุน และต้องคอยจับมารัฐฯภาคตลาดทุนจะมีมาตรการอะไรออกมาที่กระตุ้นการลงทุนต่างชาติหรือไม่
**ตลาดหุ้นเร่งฟื้นความเชื่อมั่น
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นในปี 2550 ได้ เพราะต้องรอดูในเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากมาตรการของธปท.มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตัดสินที่เข้ามาลงทุน โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนในการสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุน
ทั้งนี้ จากการที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศไม่มีการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจมีการเติบโตดีประมาณ 4.5-5% ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตดี รวมถึงการที่ตลาดหุ้นไทยมีราคาถูก ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง และการที่รัฐบาลมีการเดินหน้าลงทุนขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุน จึงทำให้ภาพรวมภาวะตลาดหุ้นปีหน้ายังคงดีอยู่ แต่ในช่วงแรกอาจจะต้องให้ระยะเวลาในการตัดสินใจ
"ปีหน้าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพดีอยู่ แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะมีการจัดโรดโชว์สัมมนาต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน" นางภัทรียา กล่าว
สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2549 ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แม้จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็นการเมือง ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย และจากผลกระทบของการออกมาตการธปท. มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2548 มาร์เกตแคปอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านล้านบาท
ส่วนเป้าหมายบริษัทใหม่ที่เข้ามาจดทะเบียนที่พลาดเป้านั้น เกิดจากบริษัทหลายแห่งได้ชะลอแผนจดทะเบียนออกไป ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องหารือว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร แต่ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีการปรับเป้าบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 40 บริษัท และตลาดเอ็มเอไอ 24 บริษัท
สำหรับความท้าทายในปีหน้าของตลาดทุนประกอบด้วย เรื่องการพิจารณาในเรื่องพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (พรบ.ต่างด้าว) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะพิจารณาให้มีความชัดเจนมากขึ้น ว่าธุรกิจเป็นธุรกิจต้องห้ามจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงการเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน
**ปีหมู ... แต่ไม่หมู
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ตลาดหุ้นปีหน้าคาดว่าจะไม่สดใสนัก จากความชัดเจนเรื่องมาตรการของธปท. ในการคุมเม็ดเงินไหลเข้าของนักลงทุนต่างประเทศ ความชัดเจนเรื่องกฎหมายนอมินี การแก้ไขพรบ.ต่างด้าว รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ
ทั้งนี้ จากมาตรการธปท.นั้นยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่มั่นใจแก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็ต้องจับตาดูอย่างไรใกล้ชิดว่าจะมีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่เชื่อว่าภาครัฐฯจะมีการดำเนินการอย่างรอบคอบ
"แม้ตลาดหุ้นปีหน้าจะไม่สดใสมากนัก แต่ยังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี หากเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน อัตราการเติบโตที่ดี ส่วนนักลงทุนที่ชอบลงทุนในหุ้นเก็งกำไรควรเก็งกำไรในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับบ้าง ไม่ใช่แต่เก็งกำไรในเรื่องราคาหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวหวือหวา " นายก้องเกียรติ กล่าว
**ผลสำรวจนักวิเคราะห์เล็งลดเป้าดัชนี
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ คงจะมีการปรับเป้าดัชนีปีหน้าลดลง หากมีการสำรวจความคิดเห็นใหม่ จากเดิมที่มีการคาดไว้ที่ 800 จุด เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนจากมาตรการของ ธปท. ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าดัชนีตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกจะเคลื่อนไหวไม่มากนัก จากไม่มีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ และต้องระมัดระวังการขายหุ้นของนักลงทุนจะมีออกมาอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ทั้งนี้ แม้แบงก์ชาติจะมีการยกเว้นไม่ต้องมีการตั้งสำรองในการลงทุนในตลาดหุ้น แต่มาตรการดังกล่าวมีผลทำให้ค่าเงินอ่อนลง ถึงแม้ต่างชาติจะไม่ตั้งใจในเรื่องเก็งกำไรค่าเงิน แต่ก็ไม่อยากที่จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และปัจจัยที่เดิมมองว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวลดลงนั้นในช่วงไตรมาสแรก แต่การที่มีมาตรการคุมค่าเงินนั้นมีผลทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ต่างชาติยังไม่มั่นใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่ถือเป็นโอกาสนักลงทุนไทยที่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่ดี ราคาถูก เช่น หุ้นในกลุ่ม พลังงาน แบงก์ วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ"นายสมบัติ กล่าว
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หากมีความชัดเจนในเรื่อง มาตรการของธปท.ว่าจะคลี่คลายอย่างไร หรืออาจจะมีการเลิกใช้ การเมืองมีความชัดเจนในเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งใหม่ ก็จะส่งดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับที่ราคาหุ้นไทยถูกก็จะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อขาย
**โบรกเกอร์แห่ลดเป้าดัชนี
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. เกียรตินาคิน กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะมีการปรับเป้าดัชนีปีหน้าลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 780-830 จุด จากปัจจัยในเรื่องความไม่เชื่อมันในการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ และในต้นปีหน้าคาดว่าจะมีการพิจารณาในเรื่องของพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น 1-3 เดือนนี้
ทั้งนี้จากการอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงนั้นก็จะเป็นปัจจัยที่หนุนให้กำไรของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้น จะสร้างความน่าสนใจให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเข้าลงทุน ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังมีราคาถูกในภูมิภาค แต่ต้อติดตามว่าต่างชาติจะกลับมามีความเชื่อมั่นเมื่อไร สำหรับหุ้นที่จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า เช่น โรงไฟตามก็ฟ้า โรงพยาบาล และธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของประชาชน
"เชื่อว่าโบรกเกอร์ต่างๆ อยู่ระหว่างการปรับเป้าดัชนีปีหน้า รวมถึงบริษัทเองมีแผนที่จะปรับเช่นกัน ซึ่งบริษัทจะขอดูเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศว่าจะกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่อย่างเต็ม 100% หรือไม่ ประกอบกับการที่จะมีการพิจารณาในเรื่องของ พ.ร.บ.ต่างด้าวด้วย" นางวิริยา กล่าว
**บล.ทิสโก้หดเป้าดัชนี 100 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าดัชนีปีหน้าเหลือ 780 จุด มีค่าพี/อี เรโชที่ 9 เท่า จากเดิม 840 จุด เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น จากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของธปท. ทำให้นักลงทุนต่างชาติแสดงความไม่พอใจอย่างมากจาก รวมทั้งยังมีความกังวลถึงอนาคตจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกหรือไม่
"ต่างชาติรับไม่ค่อยได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าจะดำเนินมาตรการอะไรก็ทำไปไม่ใช่กลับไปกลับมา แต่สิ่งที่ทำก็ไม่ดีตั้งแต่ต้น และยิ่งมาเปลี่ยนแปลงในเช้าวันรุ่งขึ้น ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ โดยต่างชาติที่ได้ขายหุ้นเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่กลับเข้ามาลงทุนเลย เพราะโดยปกตินักลงทุนสถาบันจะไม่ได้ปรับมุมมองเร็วนัก คาดว่ากองทุนบางแห่งจะใช้เวลาถึง 6 เดือนกว่าจะกลับเข้ามาพิจารณาการลงทุนในไทยอีกครั้ง"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยสูญเสียโอกาสในปีนี้ จากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด แต่ตลาดหุ้นไทยกลับติดลบเมื่อเทียบกับดัชนีเมื่อต้นปี และเสียดายความมั่นใจเพราะกว่าจะเรียกกลับมาได้ต้องใช้ระยะเวลาพอควร หลังจากที่ได้พยายามทำการประชาสัมพันธ์ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง และในขณะนี้คงต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่
**หวังเมกะฯกระตุ้นการลงทุน
นายอมฤต ศุขะวณิช ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า เป้าดัชนีในสิ้นปี 2550 อยู่ที่ 795 จุด ลดจากเดิมที่ 825 จุด โดยมีค่าพี/อี เรโช ที่ 9 เท่า จากภายใต้สมมติฐานที่ว่ารัฐบาลจะต้องลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์) ที่จะเป็นปัจจัยกระตุ้นการลงทุน โดยการปรับดังกล่าวจากผลกระทบมาตรการของธปท. และคาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตประมาณ 5-10% ซึ่งเป็นอัตรากำไรที่น้อย จากที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง
สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในปี 2550 เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ มีหุ้นขนาดใหญ่บางตัวยังน่าสนใจลงทุน ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานนักลงทุนระยะยาวที่สนใจยังสามารถลงทุนได้ด้านกลุ่มอื่นๆ อาจต้องรอนโยบายของภาครัฐว่าจะมีนโยบายใดออกมากำกับดูและหรือเลื่อนออกไป เช่น กลุ่มไฟฟ้า และกลุ่มสื่อสาร รวมถึงอาจจะต้องตระหนักถึงการควบรวมกิจการ ซึ่งในช่วงนี้กลุ่มเหล็กเริ่มที่จะมีการควบรวมกันให้เห็น
**ผันผวนสูง January Effect ไม่เกิด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 600-780 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยถือว่าเป็นจังหวะที่น่าสนใจที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ไม่พึ่งพาการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติ รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง และแนวโน้มการเติบโตที่ดี เช่น กลุ่มโรงพยาบาท โรงแรม อาหาร ไฟฟ้า เป็นต้น
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติยังไม่มั่นใจต่อการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากเหตุการณ์ในวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมาซึ่งคงต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าการตัดสินของนักลงทุนต่างชาติในปีหน้าจะเป็นอย่างไร โดยปัจจัยที่อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือว่ามีราคาถูกมากมีค่า P/E อยู่ที่ 8-9 เท่า ขณะที่ผลตอบแทนที่ได้จาการลงทุนก็อยู่ในระดับที่สูงซึ่งคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่5% และคาดว่าภายในปีหน้าผลตอบแทนที่ได้จาการลงทุนจะอยู่ในระดับ 5% เช่นกัน
"เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าจะไม่ดีมากนัก เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งอาจจะไม่ได้เห็น January Effect เหมือนที่ผ่านมา"นายสุกิจกล่าว
สำหรับการลงทุนในระยะสั้นในช่วง 3 เดือนแรกปีหน้า บริษัทแนะนำให้นักลงทุนถือครองเงินสดประมาณ 60-70% เนื่องจากสภาพตลาดหุ้นยังไม่เอื้อจากที่นักลงทุนต่างชาติยังไม่เข้ามาลงทุน ซึ่งภาครัฐจะต้องเร่งในเรื่องการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ปรับเป้าดัชนีปี2550อ ยู่ที่ 740-748 จุด จากเดิม ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 800 จุด เนื่องจาก ความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 1.6-1.8 หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุนปีหน้าคือ อัตรา ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ราคาน้ำมันทรงตัว
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการสายงานตลาด บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดว่าดัชนีปี2550 จะอยู่ที่ระดับ 745 จุด ซึ่งบริษัทไม่มีการปรับประมาณการ เพราะบริษัทไม่ได้มีการตั้งเป้าไว้สูง จากการที่ปัจจัยด้านเมือง
ทั้งนี้ จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีความชัดเจนว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิอีกครั้งเมื่อใด ซึ่งคงต้องรอดูประมาณไตรมาสที่1/2550 สำหรับกลยุทธ์การลงทุนปีหน้าแนะนำหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงแรม
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|