เทคโนฯ มหานคร โรงเรียนวิศวะแห่งทุ่งหนองจอก


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2537)



กลับสู่หน้าหลัก

เมื่อ 5 ปี ที่แล้ว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เป็นเพียงวิทยาลัยยาลัยเอกชนเปิดใหม่แห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยพื้นฐานความคิดของผู้บริการที่เน้นการผลิตบุคลากรทางด้านวิศวกรรมศาสตรตามความต้องการของตลาดแรงงานเป็นหลัก จนทำให้กลายเป็นจุดขายที่โดดเด่นในสถาบัน สิทธิชัยโภไคยอุดม คือผู้นำอย่าวงแท้จริงทั้งทางด้านวิชาการและการบริหารมหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งมีแนวคิดในการบริหาร ที่ว่าการบริหารไม่จำเป็นต้องเรียน แต่ต้องมีพรสวรรค์และให้คอมมอนเซนซ์ให้ถูกต้องเท่านั้นเอง แม้เป็นความเห็นที่แตกต่าง แต่ห้าปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาได้ทำเรื่องราวของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และตัวเขาเองเป็นเรื่องที่ต้องกล่าวถึง

ท่ามกลางความใฝ่ฝันและความคาดหวังที่จะยกระดับขึ้น สู่ความเป็นชาติอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ความเป็นจริงที่เป็นมานาน และกำลังเป็นอยู่คื อประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรทางด้านวิศวกรรมศาสตร์เป็นอย่างมาก

ข่าวบริษัทฮานา ไมรโครอิเล็กทรอนิกส์ วางแผนเคลื่อนย้ายการลงทุนไปสู่จีนและเวียดนาม เพระไม่สามารถหาแรงงานที่มีฝีมือในเมืองไทยได้อย่างเพียงพอ ซึ่งปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ดิ เอเลี่ยน วอลล์สตรีท
เจอร์นัล เมื่อไม่นานมานี้ คือรูปธรรมของปัญหาที่สำคัญที่ส่งสัญญานเตือนถึงผลเสียหายที่จะตามมาในอนาคต

มาซายูกิ คูซูมิ ผู้อำนวยการขององค์การเจโทร ประจำกรุงเทพฯ กล่าวว่า บริษัทญี่ปุ่นในเมืองไทยกำลังเผชิญปัญหาหนักในเรื่องนี้ เนื่องจกานักศึกาาที่จบทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของไทยมีเพียงปีละไม่กี่พันคน ในขณะที่ความต้องการมีมากกว่านี้ 3-4 เท่า

ปัญหานี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการปล่อยปละละเลยระบบการศ฿กษาของรัฐ ซึ่งใช้งบประมาณไปได้ในด้านอื่นมากกว่าการศึกษา ประกอบกับระบบราชการมที่มากด้วยขั้นตอนเข้าครอบครองการบริหารมหาวิทยาลัยของรัฐ การบริหารที่ไม่ยืดหยุ่น การบริหารที่ไม่ได้เงยหน้ามองถึงการพัฒนาของเทคโนดลยี จนกระทั่งไม่สามารถผลิตบุคลากรที่จำเป็นต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

เรื่องมันเริ่มต้นที่การมีงบประมาณน้อย เงินเดือนไม่มากพอจะชักชวนให้วิศวกรมาเป็นอาจารย์ ช่วงว่างเงินดือนระหว่างภาครัฐกับเอกชนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว อาจารย์ที่จบปริญญาตรีจะได้เงินเดือนประมาณ 5,000
บาท

หรือแม้กระทั่งวิศวกรทั่กวิชาชีพอาจารย์จริง ๆ ก็ยังอึดอัดกับระบบราชการ ต่างหลีกเลี่ยงการสอนในสถาบันของรัฐและไปสอนให้กับสถาบันเอกชน ตัวอย่างเช่น หากสอนในสสถาบันของรัฐอาจารย์ต้องเสียเวลากับขั้นตอนมากมายในการเบิกเงินเพียง 2,000 - 3,000 บาท ในขณะที่ถ้าสอนในสถาบันเอกชนเสร็จในแต่ละครั้ง จะมีคนนำค่าตอบแทนไปให้ทันที

" แค่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว กว่าจะซื้อได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ระบบไม่ยืดหยุ่น กว่าจะได้เครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ เครื่องนั้นก็จะล้าสมัยไปแล้ว" อาจารย์ของมหาวิทยาลัยของรัฐบาลท่านหนึ่ง กล่าวกับผู้จัดการ

แม้กระทั่ง นายแพทย์ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี อธการบดี มหาวิทยาลัย ยังเคยกล่าวว่า มหาวิทยาลัยของรัฐเป็นเหมือนต้นไม้ที่ถูกตอนจนทำให้แคระเกร็น เพระาระบบการบริหารที่ไม่คล่องตัว

เป็นที่น่าดีใจที่รัฐบาลก็ทราบถังความขาดแคลนบุคลากรทางด้านวิศวกรรมศาสตร์อยู่บ้าน แต่ก็น่าเสียใจเมื่อรัฐบาลไม่ได้จัดสรรงบประมาณและความพยายามในการเปลียนแปลงการบริหารที่มากพอ อันจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ ดังนั้นความพยายามยังคงอยู่ในกรอบการบริหารของระบบราชการ ซึ่งมีความพยายามที่ผิดทาง

จะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่งก็เตรียมดครงการที่พยายามหลุดพ้นออกมาจากระบบที่เรื้อรังมานานอย่างระบบราชการ

โครงการทุกอย่างของมหาวิทยาลัยของรัฐ จะต้องอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐจและสังคมแห่งชาติ งานที่นอกเหนือจากนั้นเป็นที่รู้กันว่าผู้บริหารจะทำไมได้

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง มีศักยภาพพอที่จะพัฒนาหลักสูตรทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่เป็นความต้องการของตลาด

แต่ก็เปิดโครงการนี้ไม่ได้ เพราะ ไม่ได้บรรจุอยู่ในแผนฯ 7 ต้องรอไปถึงแผนฯ 8 ซึ่งจะเริ่มอีก 2-3 ปีข้างหน้า

" เทคโนโลยีไปไวกว่าขั้นตอนของรัฐ ใครจะไปรู้ถึงความต้องการของตลาดได้อย่าถูกต้อง เราต้องยืดหยุ่นมากว่านี้ ถ้าเราจะเขียนในแผนเผื่อ ๆ ไว้หลายโครงการ ก็จะถูกบังคับให้ทำตามแผนที่เขียนไว้ทุกอย่าง ซึ่งก็กลัวว่าการคาดการณ์ของเราผิดพลาด เราะอยากทำแบบโครงการศึกษาพิเศษที่ไม่ได้พึ่งรัฐบาล แต่ให้ค่าตอบแทนอาจารย์เท่ากับเอกชน ก็กลัวว่า จะไม่ผ่านการพิจารณา" ประกิจ ตังติสานนท์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบัน เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง กล่าว

ท่ามกลางปัญหาแห่งความขาดแคลนวิศวกรและเงื่อนไขการบริหารระบบราชการ สถาบันอุดมศึกษาเอชน จึงน่าจะเป็นที่พึ่งของรัฐบาล ไม่ว่าคุณจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ถ้ามีตัวเลขของจำนวนวิศวกรที่เพิ่มมากขึ้น ก็น่าจะแก้หน้าของรัฐบาลได้อยู่บ้าง

ทันทีที่รัฐบาลโดยทบวงมหาวิทยาลัยเริ่มมีนโยบายเร่งรัดการผลิตวิศวกร มหาวิทยาลัย เอกชน หลายแห่ง ก็ได้ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยศรีประทุม มหาวิทยาลัยสยาม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาลัยเทคโนโลยีราชธานี วิทยาลัยเทคโนโลยีสกลนคร วิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

การตอบรับการสร้างวิศวกรบัณฑิตจากภาคเอกชน พร้อมกับการลงทุน ก้อนโตของแต่ละสถาบัน รวมทั้งค่าหน่วยกิตและค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นักศึกษาต้องจ่ายประมาณ แล้วแต่ละครอบครัว ที่ต้องการให้ลูกเป็นวิศวกรจากสถาบันศึกษาเอกชน จำเป็นต้องลงทุนประมาณ 2,000,000 บาท ตลอดเวลาสี่ปีของการศึกษา

ในบรรดาสถาบันที่เปิดสอนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีมหานคร เป็นหนึ่งเดียวที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มุ่งเน้นบัณฑิตทางวิศวกรรมศาสตร์เป็นแห่งแรก

มหาวิทยาลัยเอน แห่งนี้ มีผู้ริเริ่มโครงการเป็นอาจารย์ที่มีประสสบการร์จากเทคดนโลยีเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ส่วนหนึ่ง ร่วมกับยงศักดิ์ คณาธนวนิช ผู้เป็นเจ้าของในเครือแหลมทองอุตสาหกรรม และครอบครัวของอนันต์ อนันตกูล อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งสามส่วนถือหุ้นในจำนวนที่เท่ากัน

กลุ่มอาจารย์สามคนแรกที่ร่วมก่อตั้ง คือสิทธิชัย โภไคยอุดม, เลอเกียรติ วงศ์สารพิกูล,และเดเนียล บนริน ทั้งสามคนมีวุฒิการศึกษาถึงขั้นปริญญาเอก สองคนนั้นลาออกจาการเป็นอาจารย์ประจำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง อีกคนนั้นเป็นอดีตอาจารย์พิเศษของสถาบันเดียวกัน

" ผมทำงานกับอาจารย์สิทธิชัยมาตลอด ตั้งแต่ที่ผมมาสอนที่ลาดกระบังแล้วพออาจารย์มาตั้งที่นี่ ผมก็ออกมาร่วมงานด้วย " เลอเกียรติ คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ กล่าวถึงการเข้ามาร่วมงานในมหาวิทยาลัยมหานคร

" คนที่เป็นหมอก็อยากมีโรงพยาบาลเป็นของตนเอง เราเป็นวิศวกร อยากมีบริษัท ในขณะที่ เราเป็นวิศวกร และเป็นนักการศึกษาด้วย เราก็อยากมีมหาวิยาลัยเป็นของเราเอง " สิทธิชัยพูดถึงในการลงทุนกับธุรกิจการศึกษาด้วยเงินลงทุน 200 ล้านบาท

สำหรับส่วนร่วมทุนอีกสองรายนั้น ชักชวนเข้ามาตามความสัมพันธ์ส่วนตัวที่สืบเนื่องตั้งแต่รุ่นพ่อ

สิทธิชัยจบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย เมื่อปี 2516 โดยสอบได้เป็นที่หนึ่งของคณะซึ่งทำให้ได้รับข้อเสนอให้รับทุนจากมหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลียมากว่า 10 แห่ง แต่เขาเลือกรับทุนพิเศษของมหาวิทยาลัยเดิม เพี่อศึกษาปริญญาเอก ที่เรียกว่า Dean's Scholarship ซึ่งเป็นทุนการศึกษาที่ได้ยากที่สุดของมหาวิทยาลัย

หลังจากปริญญาเอกในสาขาวิชา solid state eletronics เมื่อปี 2519 สิทธิชัยกลับบ้าน มาเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง

กว่า 12 ปี ที่เขามีประสบการณ์การสอนในมหาวิทยาลัยของรัฐ จนกระทั่งเขาดำรงตำแหน่งคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ เขาย่อมรู้ดีถึงข้อจำกัด และข้อได้เปรียบของมหาวิทยาลัยของรัฐมากพอที่จะนำมาปรับปรุงแก้ไขและเป็นแนวทางในการบริหารมหาวิทบาลัยของตนเอง

ปี 2512 คือปีที่สิทธิชัย ก้าวออกมาจาการเป็นข้าราชการ โดยการตั้งวิทยาลัยเป็นของตนเอง

ตอนที่ตั้งมหาวิทยาลัยครั้งแรก เมื่อปี 2532 ซึ่งในตอนนั้นยังมีฐานะเป็นวิทยาลัยอยู่ เพิ่ง
จะได้รับอนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐให้เป้นมาหวิทยาลัยในปีนี้เอง มีเพียงคณะเดียวคือคณะวิศวกรรมศาสตร์ หลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมา ในปี 2535 จึงเปิดสอนคณะสัตวแพทย์อีกคณะหนึ่ง จนถึงปัจจุบันคงมีการเรียนการสอนเพียงสองคณะนี้เท่านั้น และไม่มีนโยบายที่จะเปิดคณะใหม่เพิ่มขึ้นอีก ต่างมหาวิทยาลัยของรัฐทั้งของรัฐและของเอกชน โดยทั่วไป ที่พยายามขยายสาขาวิชาออกไปให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มจำนวนนักศึกษา

ในหลักการแล้ว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร มีคณะที่ขอเปิดไว้กับทางทบวงมหาวิทยาลัยครบตามเงื่อนไขของการที่จะมีสถานะเป็นมาหวิทยาลัยได้ แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ กก็มีเพียงสองคณะที่ว่านี้ ที่มีการเรียนการสอนจริง ๆ

สิทธิชัย บอกว่า เขาต้องการให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ดำเนินงานในลักษณะ " แคบแต่ลึก"

" เราจะเปิดแค่สองคณะนี้เท่านั้น โดยไม่มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกัน คนอื่นปกติจะพยายามหาเหตุผลแต่เราไม่ปกติ" อธิการบดีหนุ่มใหญ่ที่จะมีอายุครบ 46 ปีเต็มในเดือนหน้านี้กล่าว

เหตุผลในการเปิดคณะสัตวแพทย์นั้น เดเนียล บรีน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นที่มีแต่ชื่อบอกว่า ประเทศไทยยังขาดแคลนสัตว์แพทย์อีกมากทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศเกษตรกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครจึงเป้นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งเดียวและแห่งแรกในขณะทีเปิดสอนวิชาสัตวแพทย์

แต่ทิศทางหลักของมหานครมีอยู่เพียงเดียวคือ การเป็นมหาวิทยาลัยทางวิศวกรรมศาสตร์ ตามความชำนาญของสิทธิชัย เขาบอกว่า " เราไม่เพียงแต่ตั้งมหาวิทยาลัย แต่ต้องการเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งทางด้านวิศวะด้วย"

คนที่รู้จักสิทธิชัย พูดถึงตัวตนของเขาว่า เป็นคนเก่ง กล้าพูด กล้าเสนอความคิดเห็น มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก มากจนภาพลักษณ์ในสายตาของคนที่มีโอกาสสัมผัสด้วยหลายคน เห็นว่าเขาคือคนที่มี " เงาใหญ่กว่าตัว"

ด้วยบุคลิกเช่นนี้เอง จึงไม่น่าแปลกที่การบริหารงานทุกอย่างรวมศูนย์การตัดสินใจอยู่ที่เขาคนเดียว ซึ่งอยู่ในสภาพมีเพียงคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นแกนหลักเพียงคณะเดียว ขอบเขตของการบริหารงานจึงไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน กล่าวไว้ว่ารากฐานที่วางไว้ และทิศทางในอนาคตของมหาวิทยาลัยอยู่ที่สิทธิชัยคนเดียว

ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของมหานครก็อยู่ที่เขาคนเดียว

การพิจารณาคุณภาพของวิศวกรที่สถาบันการศึกษาผลิตออกมานั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เพราะการจะหวังพึ่งทบวงหมาวิทยาลัยหรือคณะกรรมการควบคุมวิชาชีพคหกรรมศาสตร์ ก็อาจจะยาก เพระาทั้งสององค์กรพิจารณามาตรฐานจากหลักสูตรที่เปิดสอนและจำนวนอาจารย์ต่อจำนวนนักศึกษาของแต่ละสถาบัน

ในความเป็นจริงแล้ว หลักสูตรเหล่านี้แทบจะลอกเลียนจากต้นฉบับเดียวกัน หรือแม้กระทั่งจำนวนอาจารย์เองก็ไม่ง่ายนักที่จะตรวจสอบว่า ชื่อที่ปรากกฎในสถาบันต่าง ๆ ว่าเป็นอาจารย์ประจำ จะมาสอยเต็มเวลาจริง ๆ หรือเปล่า

" มันไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก ถ้าหากจะมีนายทุนที่จะสร้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เพราะแค่หาอาจารย์ทีมีประสบการณ์ทางการศึกษา มาร่างหลักสูตร จากนั้นจึงตามล่ารายชื่อลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นวิศวกร เข้าเป็นอาจารย์ประจำแต่เวลาสอนก็จ้างอาจารย์พิเศษที่ไม่มีเวลามาใส่ใจมากนักกับนักศึกษาให้มาสอน" แหล่งข่าวในวงการการศึกษาท่าหนึ่งกล่าวกับ " ผู้จัดการ"

องค์กรที่จะสามารถชี้ชัดได้ว่าสถาบันใดที่ผลิตบุคลากรที่ดีได้ก็คือ บริษัทที่รับวิศวกรเหล่านั้ทำงาน

ปัจจุบันมหานครผลิตบัณฑิตทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ออกไปแล้ว 2 รุ่น ประมาณ 1,000 คน ซึ่งในภาวการณ์ขาดแคลนวิศวกร แน่นอว่า ส่วนใหญ่จะมีงานทำ แต่การประเมินว่า ส่วนใหญ่จะมีงานทำ แต่การประเมินคุณภาพของผลผลิตจากมหานครนั้น ระยะเวลาช่วงสั้น ๆ เพียง 1-2 ปียังไม่อาจบอกได้ว่า คุณภาพเป็นอย่างไร

สิทธิชัย เคยกล่าวว่า " ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนที่จบเราจะต้องการันตรีได้ว่า จะต้องสามารถทำงานได้ดี

ด้วยเหตุนี้ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี มหานคร จึงใช้ระบบการวัดผลที่เรียกว่า " เอฟ ตัดทิ้ง" หรือ การที่นักศึกษาสามารถรีเกรดด้วยการลงวิชาที่สอบตกใหม่แล้ว วิชานั้นจะไม่ถูกนำมาคิดเกรดในใบทรานสคริปของนักศึกษาที่จบจะไม่ปรากฏเกรดเอฟเลย

" เด้กที่ผ่านวิชาใด ๆ ได้ก็คือ ผ่านจริง ๆ ผ่านไม่ได้ก็สอบตก ติดเอฟไป แต่เราก็ให้โอกาสแก้ตัวใหม่ลงใหม่จนมีความสามารถที่จะผ่านได้ เรารับประกันว่าเด็กผ่านวิชานั้นเราะว่าเขาเข้าใจวิชานั้นดีพอ เป็นผลดีกับอาจารย์ส่วนหนึ่ง ก็คือ ไม่มีการปล่อยให้เด็กผ่านด้วยเช่นกัน" สิทธิชัย กล่าวถึงเหตุผลการใช้ระบบรีเกรดในมหาวิทยาลัย

ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรที่ผู้ปกครองจะสามารถทราบได้ล่วงหน้าว่า จำนวนเงินร่วมสองแสนบาทที่ลงทุนส่งลูกหลานเข้ามาเรียน จะเป็นการลงทุนที่คุ้มคา

สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นเครื่องวัดคุณภาพของการเรียนการสอนในมหานครก็คือ การลงทุนทางด้านอาจารย์ผู้สอน ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญ เปรียบได้เช่นวัตถุในการผลิตวิศวกรออกสู่ตลาดแรงงาน

" ตอนนี้เรามีอาจารย์ประจำเกือบ 200 คน เราเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่เรามีปัญหาเรื่องอาจารย์น้อยมาก เพราะทุกอรทิยืจะมีอาจารยืมาสมัคร 3-4 คน " สิทธิชัย กล่าว

เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้มหานคร ไม่มีปัญหาเรื่องอาจารย์คือ อัตราเงินเดือนนของอาจารย์ที่มาสอนให้มหานครนั้น อยู่ในระดับสามารถแข่งขันได้กับภาคเอกชนอื่น ๆ โดยอาจารย์ทีมีวุฒิปริญญาตรีเงินเดือนระดับ 12,000-18,000 บาท ปริญญาโท 18,000-25,000 บาท และปริญญาเอก 30,000-40,000 บาท

คนที่กำหนดอัตราเงินเดือนคือสิทธิชัย

" ผมเชื่อว่า สำหรับปริญญาตรี เงินเดือนเราดีกว่าอุตสาหกรรมด้วยซ้ำ เพราะโดยเฉลี่ยอุตสาหกรรมเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นห้าร้อยถึงหมื่นสองพันห้าร้อยบาท อัตราเงินเดือนในระดับปริญญาโทเรา ก็ดีกว่า ปริญญาเอกเราอาจจะสุ้อุตสาหกรรมไม่ได้ แต่คนที่มาอยู่กับเราก็เป็นนักวิชาการอยู่แล้ว คนที่ต้องการหาเงินเยอะๆ ก็ไปทำงานกับอุตสาหกรรม" อธิการบดี มหาวิยาลัยเทคโนโลยีมหานคร กล่าว

การจัดการเรื่องเงินเดือน นับเป็นความโดดเด่นประการหนึ่งของการบริหารบุคคลของสิทธิชัย นอกจากนี้ยังรวมถึงการพัฒนาบุคลากรที่น่าสนใจก็คือ การสร้างอาจารย์ในระดับปริญญาโทขึ้นเอง โดยเปิดสอนระดับปริญญาโท และส่งอาจารย์ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ปีละ 12 คน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

แม้ว่าปริญญาโท มหานคร เริ่มมาได้เป็นปีที่สองแล้ว มีนักศึกษาประมาณ 20-30 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการศึกษาฟรี แต่ก็ไม่ได้มีการเซ็นสัญญาผูกมัดให้กับอาจารย์สอนที่มหาวิทนยาลัยหลังจบการศึกษา

" การเรียนปริญญาโทของเราหนักมาก ถ้าคิดให้ได้กำไรต้องคิดหลายแสนบาทเลย ซึ่งคงไม่มีใครมาเรียน ผมเชื่อในความภักดีของคน คนไหนที่ดูแล้วไม่ภักดี เราก็ไม่ส่งไป เราก็เลือกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่เลือก ผมดูหน้าก่อน ถ้าไม่ชอบหน้าผมก็ไม่รับเป็นอาจารย์ ผมดูว่าน่าไว้ใจมั๊ย ผมว่าคนเราใช้เวลาดูกันสักสองสามนาทีก็พอ เราส่งเขาไปเรียนต่อค่าใช่จ่ายประมาณ 350,000 ต่อปีต่อคน ในระหว่างที่เรียนก็ยังคงได้รับเงินเดือนตามปกติ เราพยายามทำให้เขาสบายใจที่จะอยู่กับเรา เรื่องอะไร เขาจะไปทำงานกับริษัทอื่น " อธิการบดี หมาวิทยาลัย เทคโนโลยีมหานคร กล่าวถึงวิธีบริหาร

บุคลากรหลักในมหาวิทยาลัย แห่งนี้ประกอบด้วย นักศึกษา 4,000 คน อาจารย์ 200 คน จบการศึกษาระดับปริญญาโท 25-26 คน ปริญญาเอก 40-50 คน ที่เหลือเป็นระดับปริญญาตรีที่มีหน้าที่ในการคุมห้องปฏิบัติการเท่านั้น อาจารย์ที่มีหน้าที่สอนจะสอนเพียงสัปดาห์ละประมาณ 5 ชั่วโมง เท่านั้น เพื่อว่าจะได้มีเวลาเหลือพอในการทำวิจัย

" ด้วยการพัฒนาอาจารย์ของเรา เราเชื่อว่าในสิบปี คุณภาพอาจารย์ของเราจะไม่ด้อยไปกว่าใครไม่ว่าสถาบันใดก็ตาม เป็นมหาวิทยาลัย ถ้าไม่มีโครงการพัฒนาอาจารย์ก็เป็นโรงเรียนประชาบาลนั่นเอง"

เนื่องจากสิทธิชัย สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย นิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย จึงเป้นการง่ายขึ้นที่จะมีการร่วมมือทางด้านวิชาการ และมีโครงการเปิดการสอนหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ในระดับปริญญาตรีเป็นภาษาอังกฤษในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีโครงการร่วมกับอิมพิเรียล คอลลเลจ อันเป็นสถาบันการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษ

"ภาษาอังกฤษ มันเป็นแฟชั่น เดี๋ยวไม่มีจะหาว่าห่วย เฮงซวย ก็เลยเปิดซะหน่อย เราคิดว่า จะเปิดให้ดีเปิดให้ถูกต้อง แต่คงไม่ได้กำไรอะไร อาจจะขาดทุนด้วย แต่คงจะมีเพราะเดี๋ยวนี้คนเห่อเรื่องการเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล" สิทธิชัย กล่าวถึงโครงการวิศวกรรมศาสตร์ภาษาอังกฤษที่จะเปิดสอนเร็ว ๆ นี้ โดยมีรนักเรียนประมาณ 50 คน

การเติบโตของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร นั้นมีการเติบโตที่รวดเร็วมาก แม้กระทั่ง นายแพทย์ ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีโอกาสมาเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยกล่าวชมถึงการเติบโตอย่างมาก และเห็นสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มีเกินหน้ามหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่ง

การเติบโตของมหาวิทยาลัยนี้อาจเนื่องมาจากวาผู้บริหารไม่สามารถนำกำไรออกไปใช้กิจการอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามหาวิทยาลัยได้เกิน 15% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ตามที่พระราชบัญญัติการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกำหนดไว้

ดังนั้นในช่วงเพียงครึ่งทศวรรษเท่านั้น พื้นที่ 20 ไร่ก็เริ่มคับแคบ เหลือพื้นที่เพียงพอสำหรับโครงการสร้างอาคารเก้าชั้นสองหลังเท่านั้น

" เรามาตั้งตรงนี้ เราะว่าที่ราคาถูกและบรรยากาศของหนองจอกสงบ ตอนตั้งตอนแรกใคร ๆ บอกว่าเจ๊งทั้งนั้น เพราะว่ามันอยู่ไกล แต่ถึงขั้นนี้แล้ว ห้าปีที่แล้วตรงนี้ไม่มีอะไรเลย ทุ่งนาหมาดรถเมล์ก็นาน ๆ มาที แต่เราก็อยู่ได้มา 5 ปี แล้ว และยังมีโครงการขยายต่อไปเรื่อย ๆ " สิทธิชัย กล่าว

40% ของค่าใช้จ่ายมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีมหานคร คือเงินที่จ่ายให้อาจารย์ 40%-50% เป็นการใช้จ่ายในเรื่องการวิจัย ที่เหลืออีก 5% - 10% เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสถานที่เรียน

ด้วยอัตราส่วนการใช้จ่ายที่ให้กับอาจารย์ที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังให้ความสำคัญในเรื่องของงานวิจัย จึงทำให้จำนวนอาจารย์ประจำที่หมาวิทยาลัย แห่งนี้มีมากว่ามหาวิทยาลัยเอกชนที่เปิดสอนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์แห่งอื่น

" ทุกมหาวิทยาลัยก็ทำอย่างเราได้ อาจารย์ก็หาสิจ่ายมากขึ้น ทำบรรยากาศดี ๆ อาจารย์ก็มาเองเขาจะยอมไหมที่จะกันเงินค่าหน่วยกิตที่รับมาจากนักศึกษา เป็นเงินสำหรับอาจารย์เกือบหมด อาจารย์ระดับปริญญาโทของเรามีเงินเดือนโดยเฉลี่ยประมาณ 28,000 บาท ผมกลัวแต่ว่า มหาวิทยาลัยอื่น เขาทำได้ แต่เขาไม่ทำ เขาคุ้นกับการที่จ่ายให้อาจารย์ 5% สร้างตึก 10%

สิทธิชัย เป็นผู้บริหารและเจ้าของมหาวิทยาลัย เอกชน ที่ไม่เห็นด้วยกับการนำสถาบันการศึกษาเข้าเป็นสมาชิในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย เหตุผลที่ว่า อาจจะทำให้ผู้บิรหารมหาวิทยาลัยเน้นที่การพยายามทำกำไรให้มากขึ้นเพื่อให้ผู้ถือหุ้นพอใจ อันจะส่งผลกระทบถึงนักศึกษา

" ผมไม่เห็นด้วยเลย กับความคิดนี้ สถาบันการศึกษาไม่น่าที่จะมาเน้นการทำกำไรกันมากมาย เราอยุ่ได้โดยไม่เอาเปรียบสังคม " เขากล่าว

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เพิ่งจะมีอายุได้ 5 ปีเท่านั้น เป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินไป สำหรับการเมินคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัญหาขาดแคลนวิศวกรทำให้ผู้จ้างงานไม่มีทางเลือก แต่การลงทุนในเรื่องอาจารย์ผู้สอน ทั้งในแง่การสร้าง การให้โอกาสพัฒนาความรู้ความสามารถ การให้ผลตอบแทนของมหานคร นับได้ว่า เป็นการสร้างฐานซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบการศึกษา ที่จะส่งผลให้เห็นกันได้ในระยะยาว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.