อุตสาหกรรมสิ่งทอ ดูเหมือนจะเป็นรายได้หลัก ทางด้านการส่งออกของไทย ในรอบหลายๆ
ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าเมื่อปี 2536 ซึ่งมีถึง94, 000 ล้านบาท และแม้ว่าในปีนี้ยอดส่งออกจะเพิ่มขึ้นเพียง
10% ซึ่งเป็นอัตราไม่มากนัก เพราะเริ่มมีคู่แข่งใหม่ในตลาดโลก เกิดขึ้น แต่มูลค่าการส่งออกของไทยก็ยังสูงอีก
105,000 ล้านบาท
การที่อุตสาหกรรมประเภทนี้เติบโตก้าวหน้าตลอดก็ส่งผลให้อุตสาหกรรมใกล้เคียงพลอบฟ้าพลอยฝนได้รับอนิสงส์ไปด้วย
การเติบโตดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เพียงแต่โชคช่วยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าผู้บริหารที่อยู่ในแวดวงนี้
รู้จักที่จะปรับปรุงกลยุทธ์ทำตลาดให้แหวกแนวไปอยู่ตลอดเวลา เพราะหากหยุดนิ่งเมื่อไร
คู่แข่งที่เกิดขึ้นใหม่หลายรายรายเหล่านั้น ก็พร้อมที่จะแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปทันที
"พิสิษฐ์กรุ๊ป" ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นเคยนัก สำหรับคนที่อยู่นอกแวดวงอุตสาหกรรมสิ่งทอ
แต่หากเป็นคนในแวดวงแล้ว จะทราบดีว่า พิสิจน์กรุ๊ปเป็นกลุ่มบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหนายสีและเคมีภัณฑ์ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมย้อมผ้าและฟอกหนัง
เครื่องจักรกล รวมถึงผลิตสีให้กับอุตสาหกรรมย้อมผ้ารายใหญ่ในไทยเกือบทุกเจ้า
ตัวอย่างลูกค้าสำคัญที่พิสิษฐ์กรู๊ปส่งสินค้าให้ก็มีอาทิ เช่น เอเชียไฟเบอร์สยามซิกิโบดายอิ้ง
ไทยทรีคอต ยูเนียนอุตสาหกรรม สยามเส้นใยประดิษฐ์ การทอ วายอาร์วีเท็กซ์ไทล์
บางกอกอุตสาหกรรม การทอ เป็นต้น
ด้วยแนวความคิดที่จะต้องสรรค์สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการ ในสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงดังว่า
พิสิษฐ์กรุ๊ป จึงต้องให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ใหม่ที่ต้องผลักดันให้ตัวเองขึ้นไปเป็นตัวเต็งในอุตสาหกรรมประเภทนี้ให้จงได้
การแตกตัวบริษัทเพื่อให้มีครบวงจร จึงเป็นเป้าหมายที่พิสิษฐ์กรุ๊ปตั้งไว้
ดังนั้น หลังจากการก่อตั้งในปี 2516 จาก พิสิษฐ์ สแตนดาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์
จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแรก ด้านการผลิตเคมีภัณฑ์สิ่งทอ และสีฟอกย้อม ก็เริ่มกระจายตัวเองมาสู่ธุรกิจใกล้เคียง
ด้วยการจัดตั้งบริษัทกรุ๊ปเทค จัด ในปี 2520ซึ่งผลิตเคมีภัณฑ์สิ่งทอ และสีฟอกย้อมเช่นเดียวกัน
และอีก3 ปี ต่อมา ก็ได้ก่อกำเนิดบริษัทพิสิษฐ์จำกัด ขึ้น มาเพื่อดูแลเคมีภัณฑ์สำหรับเครื่องหนัง
และฟอกย้อมโดยเฉพาะ
ปี 2530 บริษัทลูกอีกหนึ่งคือ ยูโรเซีย เคมีคัลล์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อทำงานด้านโรงงานเคมีภัณฑ์สิ่งทอโดยเฉพะ
และล่าสุดเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ ไฮเค็ม ดาย สตัฟท์ จำกัด ก็เป็นอีก
1 แห่ง ที่ยังคงเน้นผลผลิตสีในอุตสาหกรรมย้อมผ้าและฟอกหนังเช่นเดียวกัน และเพื่อให้เต็มตามโครงการ
ทางพิสิษฐ์กรุ๊ป ก็เตรียมจะเปิดอีกหนึ่งบริษัทเพื่อรองรับกับความต้องการของภูมิภาค
โดยจะเปิดบริษัทพิสิษฐ์เคมีคัลล์ เพื่อผลิตเคมีภัณฑ์เพื่อรองรับตลาดต่างจังหวัดเท่านั้น
ซึ่งคาดว่าจะเปิดได้ภายในปีหน้านี้
ภคิน นิธิธนภัทร กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัทพิสิจน์กรุ๊ป เปิดเผยว่ากลยุทธ์เพิ่มผลิตภัณฑ์ในครบวงจรนี้
นอกจากจะเป็นแรงผลักดันจากการแข่งขันในตลาดที่มีอยู่สูงมากใหปัจจุบันนี้
ยังเกิดจากแรงผลักดันของค่ายเคมีภัณฑ์จากต่างประเทศ ที่ถาโถมเข้ามาในช่วงที่ผ่านมามากมาย
และบริษัทเหล่านี้ก็สามารถใช้กลยุทธ์ด้านราคาได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากบริษัทแม่สนับสนุนอยู่ตลอดเวลา
โดยปัจจุบันการตัดราคาในตลาดเคมีภัฑ์อยู่เกณฑ์ระหว่างประมาณ 20-30% จึงทำให้พิสิษฐ์กรุ๊ป
จำเป็นต้องหากลยุทธ์เสริมมาช่วยดึงส่วนแบ่งให้มากขึ้น
กลยุทธ์ที่พิสิษฐ์กรุ๊ปพิจารณาแล้วเห็นว่า จะเป็นไม่เด็ดสำคัญในการพิชิตใจลูกค้า
คือการเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการให้บริการซึ่งจะต้องเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพิสิษฐ์กรุ๊ปเอง
โดยประสบการณ์ที่ติดต่อกับลูกค้ามา ทำให้พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ที่ลูกค้าเรียกร้องมาส่วนใหญ่คือ
ความล่าช้าในการส่งสินค้า ซึ่งในบางครั้งทำให้สูญเสียรายได้ไปเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นทางพิสิษฐ์กรุ๊ป จึงได้หาหนทางแก้ไขในจุดด้อยนี้ ซึ่งเกิดขึ้นกับแทบทุกค่ายผู้ผลิต
ไม่เฉพาะที่พิสิษฐ์กรุ๊ปเพียงที่เดียว ให้แปรเปลี่ยนเป็นจุดเด่นในการบริการ
ที่ลูกค้าจะต้องกล่าวถึงโอกาสต่อไป
"การจัดสร้างโกดัง เก็บสินค้าให้อยู่ตามมุมเมืองต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้เรามีอยู่ครบทุกจุดที่ลูกค้าสามารถมาติดต่อได้อย่างสะดวก
ไม่ว่าจะเป็นย่านรังสิต คลองเตย สำโรง บางแค อ้อมน้อย อ้อมใหญ่ หรือย่านอื่นที่มีโรงงานสิ่งทอ
โรงงานฟอกย้อมไปตั้งอยู่" ภคิน เผยด้วยว่าโกดังเก็บสินค้านี้ แม้จะเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่มีความกว้างขวางมากนัก
แต่ก็จะมีผลิตภัณฑ์เกือบทุกรายที่ลูกค้าสามารถเลือกหาได้ทันที ซึ่งในเร็ว
ๆ นี้ ก็จะได้มีการเปิดโกดังแห่งใหม่ในย่านที่ลูกค้าหนาแน่นเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้นแล้ว วิวัฒนาการที่ลูกค้ามีความมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีเคมีนั้น
ก็จะเป็นเช่นเดียวกับสีที่ใช้ในงานอาคาร บ้านพักอาศัย หรือสีอุตสาหกรรมที่จะมีเครื่องมือคัดเลือก
และผสมสีตามที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งปัจจุบันทางิสิษฐ์กรุ๊ปก็ได้นำเอา เทคโนโลยี่นี้ให้บริการลูกค้าตามศูนย์ที่มีโกดังของพิสิษฐ์กรุ๊ปตั้งอยู่แล้วซึ่งจุดนี้ใช้งบประมาณหลายล้านบาท
ด้วยกลยุทธ์ดังว่านี้ พิสิษฐ์กรุ๊ปจึงมั่นใจว่าจะสามารถมีอัตราเติบโตทางการตลาดเพิ่มขึ้นปีละ
10% เป้าการขายได้ตั้งไว้ 100 ตัน/ปีและจะเพิ่มเป็น 300 ตัน ในช่วงต่อไป
และขณะนี้ได้เริ่มหาลู่ทางที่จะผลักดันบริษัทพิสิษฐ์ สแตนดาร์ด เอ็นเตอร์ไพร์ส
ซึ่งเป็นบริษัทหลักของกลุ่มเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นบริษัทแรกในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์
ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งทอ และฟอกย้อมที่จะ เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
และแน่นอนกว่า บนก้าวเดินของพิสิษฐ์กรุ๊ป ก็คงไม่ได้ราบเรียบมาตลอด นอกจากปัญหาที่จะต้องแข่งขันกับค่ายเคมีภัณฑ์จากต่างประเทศที่มีสายป่านยาวแล้ว
ปัญหาต้นทุนในการผลิต โดยเฉพาะภาษีนำเข้าวัตถุดิบทางด้านเคมีที่นำที่นำมาผลิตเป้นสีเคมีอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างสูง
โดยปัจจุบันภาษีของสารเคมีโดยเฉลี่ยจะอยู่ในอัตรา 30 % ซึ่งนับว่า สูงมาก
หากเปรียบเทียบกับค่ายจากต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งในขณะนี้ ได้มีการเรียกร้องจากสมาคมฟอกย้อม
ผู้ค้าเคมีภัณฑ์ หรือสมาคมเครื่องนุ่งห่มไทย ได้มีการลดภาษีนี้ลงมาบ้างแล้ว
เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมสิ่งทอในไทย
ดังนั้นจนมาถึงวันนี้ พิสิษฐ์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า แม้ว่า จะเป็นค่ายเล็กที่ดำเนินธุรกิจในวงจำกัด
แต่ถ้าวางกลยุทธ์ได้ถูก และรู้จักเน้นในจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง การพลิกผันตัวเองไปสู่ความเป็นค่ายใหญ่
ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินความจริง