|

ตลาดหุ้นซึมเทรดแค่5พันล.
ผู้จัดการรายวัน(26 ธันวาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้(25 ธ.ค.) ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2549 ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความซบเซา เหตุไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่ปัจจัยลบช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเรื่องของมาตรการปกป้องค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังสร้างความไม่มั่นใจต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก
โดยตลอดช่วงเช้าดัชนีแกว่งตัวในแดนลบ ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ช่วงท้ายตลาด ทำให้ดัชนีปิดที่ 684.32 จุด เพิ่มขึ้น 4.01 จุด หรือ 684.32 จุด และเป็นจุดสูงสุดของวัน ขณะที่จุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 677.10 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเพียง 5,068 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าซื้อขายต่ำสุดในรอบระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 26 เดือนกรกฎาคม 2549 ที่มีมูลค่าการซื้อขาย 4,572 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 269.08 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 397.42 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 666.50 ล้านบาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า การซื้อขายหุ้นเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นและนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุน ประกอบเป็นวันหยุดของนักลงทุนต่างประเทศ แต่ดัชนียังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (26 ธ.ค.) คาดว่ามูลค่าการซื้อขายจะยังคงเบาบางตลอดทั้งสัปดาห์ ทำให้บรรยกาศการลงทุนมีควาาซบเซา เพราะนักลงทุนต่างชาติหยุดพักผ่อนและเข้าใกล้วันหยุดปีใหม่ของไทย แต่จะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นขนาดเล็ก โดยมองแนวรับที่ระดับ 670-675 จุด แนวต้านที่ระดับ 685-690 จุด
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากใกล้ช่วงวันหยุดยาวประกอบกับตลาดหุ้นต่างประเทศปิดทำการหลายแห่ง โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยในวันนี้(26ธ.ค.) ดัชนีจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกันวานนี้ เพราะไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้น ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในช่วงของการปรับพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนให้ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสภถานการณ์ โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 685 จุด และแนวต้านประเมินไว้ที่ 690 จุด
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า สาเหตุที่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากเข้าใกล้วันหยุดเทศกาลวันปีใหม่ ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังคงรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากกระทรวงการคลัง รวมถึงแนวทางในการดึงนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการสกัดกั้นการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยแนะนำนักลงทุนทยอยซื้อหุ้นกลุ่มขนาดเล็กเมื่อราคาปรับตัวลดลง ส่วนแนวรับที่ 677 จุด และแนวต้านที่ 690 จุด
นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงปลายสัปดาห์เชื่อว่าอาจจะมีการเข้ามาสร้างราคาหุ้นบางบริษัทเพื่อปิดงบการเงินงวดปี 2549 โดยแรงซื้อที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้มาจากนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจในตลาดหุ้น โดยประเมินแนวรับที่ 680-682 จุด และแนวต้านที่ 687-690 จุด
โบรกฯปรับเป้าดัชนีปี50
นายอมฤต ศุขะวณิช ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การประเมินการซื้อขายในตลาดหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปียังคงประเมินได้ยาก เนื่องจากตลาดมีความผันผวน โดยคาดว่านักลงทุนในประเทศส่วนใหญ่จะทำการซื้อขายกันมากกว่า ขณะที่นักลงทุนน่าจะหยุดทำการซื้อขายซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายปรับลดลงค่อนข้างมาก
สำหรับสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้ นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นที่มีการจ่ายปันผล ซึ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นการลงทุนในหุ้น 60-70% ลงทุนในตราสารหนี้ 20% และเงินฝาก 10% โดยประเมินแนวต้านที่สำคัญคือ 700 จุด ว่าจะสามารถปรับขึ้นเกิน 700 จุดหรือไม่
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นในปีหน้าบริษัทคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 795 จุด จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 825 จุด เนื่องจากความผลกระทบจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท. ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่ารัฐบาลจะต้องลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (เมกกะโปรเจกต์) ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการดึงนักลงทุนต่างชาติให้กับเข้ามาลงทุน
"ในปี 2550 เราประเมินกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตประมาณ 5-10% ซึ่งเป็นอัตรากำไรที่น้อย เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีความเสี่ยงสูง ในขณะที่เพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ยังมีผลตอบแทนจากการลงทุน"
ด้านนักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมาในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะเป็นการขายที่ขาดทุนแ ต่ถือว่ายังมีกำไรอยู่ ส่วนนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ที่ผ่านมาในช่วงสิ้นปีมักขายทำกำไร แต่ในช่วงสิ้นปีนี้ มองว่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำกำไรได้ เพราะมีความเสี่ยงที่หากเมื่อดึงดัชนีให้ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มจะกลับมาขาย
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|