ซิกโก้เปิดช่องพันธมิตรตปท.เจรจา


ผู้จัดการรายวัน(25 ธันวาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

บล.ซิกโก้ พร้อมเปิดทางพันธมิตรต่างชาติเจรจาร่วมทำธุรกิจ ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีหน้า 2.5% ผู้บริหารชี้ทางรอดของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ที่จำนวนนักลงทุน ระบุหากไม่เพิ่มจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 3 แสนบัญชี หรือ 0.4% ของประชากรทั้งประเทศไม่ว่าจะโบรกฯเล็กหรือโบรกฯใหญ่ตายหมด

นายศิริพงษ์ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเป้าส่วนแบ่งการตลาด หรือ มาร์เกตแชร์ของบริษัทว่า ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้ารักษามาร์เกตแชร์ให้อยู่ในระดับประมาณ 2.5% ซึ่งใกล้เคียงกับปีนี้ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะพบว่ามาร์เกตแชร์ของบริษัทไม่ปรับขึ้นเลยแต่กลับปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนในประเทศซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ค่อยมีบทบาทต่อตลาดหุ้นไทยเนื่องจากนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามีบทบาทต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก บริษัทหลักทรัพย์ใดที่มีนักลงทุนต่างชาติในสัดส่วนที่สูงก็จะได้รับผลดี ขณะนี้บริษัทหลักทรัพย์ใดที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนในประเทศก็ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ แม้ว่ามาร์เกตแชร์ของบริษัทจะปรับตัวลดลงแต่พบว่าสัดส่วนของนักลงทุนของบริษัทโดยเฉพาะสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่รายย่อยประมาณ 90% และนักลงทุนสถาบันประมาณ 10%

สำหรับการปรับตัวเพื่อรองรับการเพิ่มเสรีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์และเสรีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์บริษัทได้มีการลดต้นทุนในเรื่องต่างๆค่อนข้างมากเพื่อเป็นการปรับตัว เช่น การปิดสาขาที่ไม่สร้างกำไรให้กับบริษัทจำนวน 4 สาขารวมถึงการบริหารต้นทุนในเรื่องอื่นๆ

นอกจากนี้บริษัทพร้อมเปิดทางในการเข้ามาเจรจาของพันธมิตรทั้งจากในประเทศและต่างประเทศเพื่อเข้ามาสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทอย่างเต็มที่

"เราเปิดรับบริษัทที่สนใจจะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของบริษัทอย่างเต็มที่ เพื่อเข้ามาช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันให้กับบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทวางตัวเองเป็นบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ มีลูกค้าเป็นนักลงทุนในประเทศเป็นส่วนใหญ่ การได้พันธมิตรจากต่างประเทศเข้ามาเสริมก็เป็นเรื่องที่ดี"นายศิริพงษ์กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซิกโก้ กล่าวอีกว่า ปัจจัยสำคัญที่จะรองรับการเปิดเสรีในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ คือ ฐานนักลงทุนที่จะต้องมีมากกว่าในปัจจุบัน โดยปัจจุบันตลาดทุนไทยมีนักลงทุนอยู่เพียง 3 แสนบัญชีเมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ 0.45 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาโดยหากก่อนเปิดเสรีจำนวนนักลงทุนไม่เพิ่มไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่หรือบริษัทหลักทรัพย์ขนาดเล็กไม่น่าจะอยู่รอดในสภาวการณ์เช่นนั้นได้

ทั้งนี้ ในเรื่องการสร้างฐานนักลงทุนหน้าใหม่ให้กับตลาดหุ้น บล.ซิกโก้ คิดในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวรูปแบบการออมในลักษณะการลงทุนขึ้นในชื่อว่า Easy Wealth Builder ซึ่งได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องแล้วประมาณ 4 ปีแต่เพิ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเกือบ 2 เดือนที่ผ่าน

ในส่วนของรูปแบบการออมดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการลงทุนที่ต่อเนื่องเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนให้กับนักลงทุน โดยบริษัทจะให้นักลงทุนลงทุนแบบทุกเดือนในจำนวนที่เท่ากันในอัตราขั้นต่ำ 1,000 บาท ซึ่งนักลงทุนจะสามารถเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้จากหลักทรัพย์ที่อยู่ใน SET50 ซึ่งถือว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มีมาร์เกตแคปสูง อัตราการเติบโตดี มีสภาพคล่อง

สำหรับ การออมในลักษณะดังกล่าวบริษัทถือว่านอกเหนือจากการสร้างวินัยให้กับนักลงทุนที่สนใจจะออมผ่านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้วการสร้างความมั่นใจโดยใช้หลักการที่จะไม่ให้นักลงทุนต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่รุนแรงจนทำให้เกิดความกลัวต่อการลงทุนจนไม่กล้าไม่ที่จะเข้ามาลงทุนอีกเป็นการให้นักลงทุนรับรู้ถึงความเสี่ยงและโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนแบบค่อยเป็นค่อยไป

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการออกรูปแบบการออมดังกล่าวถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนค่อนข้างดีโดยเกือบ 2 เดือนมีนักลงทุนเปิดบัญชีกับบริษัทเพิ่ม 120 บัญชีขณะที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมามีนักลงทุนเปิดบัญชีประมาณ1,100 บัญชี ซึ่งบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าในปีหน้าจะมีนักลงทุนเปิดบัญชีเพิ่มเป็น 3 พันบัญชี โดยการลงทุนในลักษณะดังกล่าวสิ่งที่ได้ตามมาคือบัญชีที่เป็นบัญชีที่ซื้อขายแบบสม่ำเสมอทั้ง 100% ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.