"ตายสิบเกิดแสน" จากวันมหาวิปโยค 14 ตุลา 2516 จนถึง 6 ตุลา 2538
ยี่สิบสองปีผ่านไป กงล้อประวัติศาสตร์ของขบวนการประชาธิปไตยของกลุ่มผู้นำนักศึกษาอย่างเคยเข้าป่า
ใต้ดาวแดงได้แปรภารกิจต่อสู้กับเผด็จการจักรวรรดินิยมที่เคียงป่าเคียงไหล่ประชาชน
สู่เงื่อนไขผู้นำยุคใหม่ในโลกไร้พรมแดนวันนี้ "ไม่มีพรรค มีแต่พวก"
พินิจ จารุสมบัติ - ประสาน มฤคพิทักษ์ และวิรัติ จิระศักดิ์ภาพงศ์เป็นกรณีของคนรุ่นหนุ่มเมื่อ
22 ปีที่แล้ว ที่มีโอกาสเรียนรู้และร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ประชาชนในเหตุการณ์ต่อสู้เพื่อเอกราชประชาธิปไตยเมื่อ
14 ตุลาคม 2516 วันมหาวิปโยคที่ไม่มีใครลืม มาถึงยุคเหตุการณ์นองเลือดที่ธรรมศาสตร์เมื่อ
6 ตุลาคม 2519 เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจำ เจ็บเกินไปกว่าคำบรรยาย
"ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั้นย่อมมีการต่อสู้" เป็นบทบาทชูธงประชาธิปไตยในฐานะผู้นำนักศึกษาประชาชนเมื่อ
20 ปีที่แล้ว อย่างรองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยซึ่งวิรัติ
จิระศักดิ์ภาพงศ์ ดำรงตำแหน่งก่อนพินิจ จารุสมบัติ ขณะที่ประสาน มฤคพิทักษ์เป็นกรรมการพรรคสังคมนิยม
ภูมิหลังการศึกษา ประสานและวิรัติเรียนรัฐศาสตร์ที่จุฬาฯ ขณะที่วิรัติเรียนปี
1 ประสานก็เรียนอยู่ปี 4 มีตำแหน่งเป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ (สจม.) ทั้งคู่เคยมีบทบาทสำคัญเดินขบวนต่อต้านการคอรัปชั่นในจุฬาฯ
ปี 2513 พอปีต่อมาก็เดินขบวนประท้วงคำสั่งคณะปฏิวัติฉบับที่ 299 สมัยจอมพลถนอมปฏิวัติตัวเอง
และปีที่สามเดินขบวนคัดค้าน ดร. ศักดิ์ อธิการบดีรามคำแหงที่ลบชื่อนักศึกษาออกจากมหาวิทยาลัย
และปี 2516 ที่เกิดเหตุวันมหาวิปโยคก็เดินขบวนเพื่อประชาธิปไตย
ส่วนพินิจจบนิติศาสตร์ รามคำแหงไม่เคยว่าความสักคดีเดียว ชอบการเล่นการเมืองเป็นชีวิตจิตใจ
มีปราศรัยหาเสียงหรือไฮปาร์คที่ไหน พินิจต้องไปที่นั่น เคยเป็นนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง
เลขาธิการพรรคสัจธรรมก่อนที่จะเป็นรองเลขาศูนย์ฯ สมัยที่มีคำนูณ สิทธิสมานรักษาการเลขาธิการศูนย์ฯ
ในครั้งนั้นศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเต็มไปด้วยพลังคนหนุ่มสาวอันเร่าร้อนจริงจังในยุคหลัง
14 ตุลา ภาพขบวนการนักเรียนนักศึกษาที่แสวงหาความเป็นธรรม ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมชุมนุม
เดินขบวนวางหรีด ออกค่ายสัมผัสชนบท จัดอภิปรายและนิทรรศการ คุยกันในสภากาแฟและชมรม
แจกใบปลิว ติดโปสเตอร์และบ่อยครั้งขัดแย้งกับพ่อแม่อย่างจริงจัง บางทีมีชีวทัศน์โลกทัศน์เยาวชนที่แห้งแล้ง
อ่านหนังสือสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุงหรือเชกูวารา นายแพทย์นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่และฟังเพลงเพื่อชีวิตของวงคาราวาน
โคมฉาย กรรมาชน ลูกทุ่งสัจธรรม
ผู้นำขบวนการประชาชนถูกไล่ล่าฆ่าฟันจากอำนาจรัฐที่ใช้ลักษณะ "ขวาพิฆาตซ้าย"
อย่างรุนแรงไม่เว้นแต่ละวัน ช่วงเวลาก่อนและหลัง 6 ตุลา ชีวิตของผู้นำนักศึกษาตกอยู่ในอันตรายและไม่มีทางเลือกระหว่าง
"การเข้าคุก" กับ "เข้าป่า"
การเข้าป่าของพินิจ ประสาน และวิรัติ เป็นชีวิตขอองคนที่เหมือนมีจังหวะของมัน
บางทีพบว่าชีวิตออกจะผันผวนอยู่มาก แต่ก็คุ้ม เพราะมันให้ความรู้สึกที่ดีที่จะเป็นคนที่ไม่ยอมศิโรราบให้กับทรราชย์เผด็จการอย่างกล้าหาญ
"ถ้าการเป็นฝ่ายซ้ายคือคอมมิวนิสต์เลย ผมคิดว่าเราคงไม่ใช่ ผมเข้าไปอยู่ป่าเกือบ
3 ปี ไม่ใช่สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์เพราะการเข้าไปใช้ชีวิตในป่าเขาและชนบทมันได้คุณค่าและประสบการณ์
ได้เรียนรู้ในวิถีทางการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมหนึ่งเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ประยุกต์ประสบการณ์จากป่าสู่เมือง
ความแตกต่างมันมีสำคัญอยู่ที่ตัวเราเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ผมคิดว่าผมก็ยังเป็นผมอยู่"
ในสภาผู้แทนราษฎรวันนี้พินิจปฏิเสธคำว่าฝ่ายซ้ายแต่เลี่ยงไปใช้คำว่าผู้รักประชาธิปไตยแทน
นอกจากนี้พินิจยังปฏิเสธข่าวลือช่วงเข้าป่าว่าขายของด้วยว่า เป็นเรื่องไม่จริงเพราะช่วงหนึ่งที่พินิจป่วยจึงถูกย้ายให้มาคุมกองพลาธิการ
ซึ่งเป็นหน่วยเสบียงกรังของกองทัพป่า
"เขาให้ผมไปคุมข้าวของเสื้อผ้า คนมาเบิกของเราก็จ่ายไป ถ้าของยังไม่มาก็รอเที่ยวหน้า
เรื่องจะเอาไปขาย ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะวินัยเขาเข้มแข็งมาก ๆ และยิ่งเราเป็นผู้รับผิดชอบจะไปทำแบบไร้หลักการไม่ได้เลย"
พินิจเล่าให้ฟัง
แต่สำหรับวิรัติซึ่งอยู่ในป่าร่วม 4 ปี มีชื่อจัดตั้งว่า "อาทิตย์"
เคยอยู่แนวหลังซึ่งเป็นฐานที่มั่นช่วงชายแดนระหว่างลาวกับจีนถือว่าเป็นเขตปลอดภัยที่สุด
เป็นสำนักแนวร่วมฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนการเมืองการทหารมีผู้นำนักศึกษาที่เคยผ่านสำนักนี้แล้วอย่างธีรยุทธ
บุญมี ชำนะ ศักดิ์เศรษฐ ประสาน มฤคพิทักษ์ เสกสรร ประเสริญกุล หมอเหวง โตจิราการ
เกรียงกมล เลาหไพโรจน์
"อุดมคติช่วงนั้นผมต่อสู้กับระบอบเผด็จการ ผมเข้าป่าเพราะถูกประกาศจับตอนนั้นผมทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยกับ
อจ. บุญสนอง บุญโยทยานซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยแล้วถูกลอบยิงตาย
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและยิ่งทางการประกาศจับทำให้ผมอยู่ไม่ได้แล้ว ทางเลือกจึงมีสองทางคือ
ไม่ไปอยู่คุกกับคุณสุธรรมก็ต้องไปเข้าป่ากับคุณไขแสง สุกใสที่ไปก่อนแล้ว"
วิรัติได้เล่าให้ฟังถึงสาเหตุการเข้าป่าในครั้งนั้น
ตลอดระยะเวลาที่จรยุทธ์อยู่ในป่า คนอย่างพินิจ ประสานหรือวิรัติ มีบ้างบางเวลาที่ต่างค้นพบในห้วงเวลาสั้น
ๆ ว่าตัวเองมีวิธีคิดคนละระบบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อรัฐบาลเปิดนโยบาย
66/23 ผู้รักประชาธิปไตยในป่าก็พลันคิดตก กลับคืนรัง ลงจากภูผาผ่านป่าเขาลำเนาไพรเข้าสู่เมือง
ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหน้าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ ?
ห้วงเวลาที่หายไปในป่า เพียงระยะสิบปีที่ผ่านมา โลกภายนอกเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินรุนแรงทั้งเศรษฐกิจและเมือง
เช่น กำแพงเบอร์ลินแตก รวมเยอรมนีตะวันออกกับตะวันตก เหตุการณ์โซเวียตล่มสลาย
นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่สร้างภาพโลกไร้พรมแดน
วิถีชีวิตสังคมสมัยใหม่เต็มไปด้วยความหลากหลายและแข่งขันแบบเสรีนิยม ฯลฯ
"เมื่อก่อนนี้เรามีความคิดด้านอุดมคติค่อนข้างจะสูง แต่พอเราโตขึ้นๆ
เราก็มองโลกในความเป็นจริง เดี๋ยวนี้ความรู้สึกเป็นทุนนิยม และสังคมนิยมมันจางหายไปแล้ว
เส้นแบ่งค่อนข้างจะเลือนราง" วิรัติกล่าว
ด้วยเหตุนี้คนที่ออกจากป่าอย่างพินิจประสานหรือวิรัติซึ่งขณะนั้นอายุ 30
ต้น ๆ จึงต้องเร่งปรับตัวให้อยู่รอด และแสวงหาโอกาสจากระบบที่เปิดเสรีทางเศรษฐกิจการให้ได้
แม้ว่าเบื้องแรกต้องเริ่มนับถอยจากหนึ่งใหม่ แต่ความเอื้ออาทรของมิตรสหายคือกำลังใจ
วิรัติเริ่มต้นชีวิตทำงานถนัดที่ศูนย์ฝึกอบรม บริษัทอินเตอร์ไลฟ์ เนื่องจาก
ดร. ทัศนีย์ บุญโยทยานเป็นผู้บริหารศูนย์นี้ ต่อมาได้มาทำเป็นวิทยกรศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพของทินวัฒน์
มฤคพิทักษ์ซึ่งเป็นพี่ชายประสาน และต่อมาได้ย้ายมาเป็นผู้จัดการศูนย์ฝึกอบรมของเครือเจริญโภคภัณฑ์
หลังจากใช้เวลาสี่ปี ล่าสุดวิรัติเป็นผู้จัดการสำนักกรรมการผู้จัดการในกลุ่มซีพีบริหารงานบุคคล
ธุรการและประสานงานกับราชการ ส่วนงานการเมืองวิรัติขอเป็นเพียงผู้สนับสนุน
"ผมจะช่วยในขอบเขตที่ช่วยได้เป็นส่วนตัว การจะไปทำกิจกรรมทางการเมืองหวือหวาคงไม่ได้
เพราะผมเป็นลูกจ้างเขาอยู่ บทบาทอาจจะแคบลง" วิรัติเล่าให้ฟัง
ส่วนประสาน มฤคพิทักษ์กับเวลา 5 ปี ในป่า วันนี้เขามีธุรกิจส่วนตัวในนามบริษัท
ชีวิตธุรกิจ จำกัด ทำรายการทีวี "ชีวิตธุรกิจ" ช่อง 9 อสมท. ทุกเช้า
6.45 น. ทำฝึกอบรม เขียนหนังสือและผลิตเทปคาสเซท กับเป็นอาจารย์สอนหนังสือ
ล่าสุด ดร. เสรี วงษ์มณฑา ทาบทามประสานเข้าไปร่วมเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมของกลุ่มบริษัทสยามทีวีแอนด์คอมมูนิเคชั่นในเครือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
"ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายเมื่อกลับมาก็ต้องการประกอบสัมมาอาชีพในแนวที่ตัวเองถนัดและมีความสามารถสองอย่างคือ
หนึ่ง-พูดและสอง-เขียน จริง ๆ ผมรักการเขียนมากกว่าการพูดด้วยซ้ำไป"
ประสานเล่าให้ฟังในงาน "ปิติจากเพื่อนพ้องน้องพี่" ซึ่งเป็นงานสำหรับคนที่เคยอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยทั้งในป่าและในเมือง
จัดมาแล้ว 6-7 ครั้งโดยมีประสานเป็นแม่งานใหญ่ในปีนี้ที่โรงแรมสยามซิตี้
"ความผูกพันฉันท์มิตรที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีปัญหาเดือดร้อนเราก็เอื้ออารีต่อกันตามสภาพที่ทำได้
วันนี้มาเจอหน้าทักทายและแสดงความยินดีต่อกัน ส.ส. และเพื่อน ส.ส. หนุ่มสาวที่กะมาร่วมงานประมาณ
25 คน" นี่คือการรวมตัวของกลุ่มการเมืองหัวก้าวหน้าคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะการดึงแนวร่วมใหม่
ๆ อย่างศันสนีย์ นาคพงศ์-อริสมันต์ พงษ์เรืองรองมาด้วย
ความสนใจติดตามทางการเมืองของประสานมีต่อเนื่อง เคยเป็นประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยหลังเกิดเหตุพฤษภาทมิฬปี
2535 ประสานเคยเข้าสมัครรับเลือกตั้งซ่อมในนามพรรคพลังธรรมที่เขต 1 กรุงเทพมหานครเมื่อคราวที่อากร
ฮุนตระกูล ลาออก แต่ประสานก็พ่ายแพ้การเลือกตั้ง
"ผมไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเข้าไปทำหน้าที่ ส.ส. ทุกวันนี้เราก็มีความสุขกับงานอาชีพเรา
แต่ว่าอนาคตไม่แน่ สมมุติเงื่อนไขการเมืองเปลี่ยนไปเช่นมีการปฏิรูปทางการเมือง
ทำให้ไม่ต้องใช้เงินเยอะ ไม่ต้องซื้อเสียง มีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต วันแมนวันโหวตและผู้สมัครสามารถสมัครอิสระได้ไม่ต้องสังกัดพรรค
ถ้าเงื่อนไขนี้เปิดให้ ก็จะทำให้คนที่ตั้งใจดีและบริสุทธิ์ใจไม่ต้องใช้เงินซื้อเสียง
สามารถที่จะไปนั่งในสภา แต่ถ้าสภาพการเลือกตั้งต้องทุ่มเงิน 10-20 ล้านซึ่งเป็นความจริงของการเมืองไทย
เราก็ไม่ทำ" ประสานเล่าให้ฟัง
แต่สำหรับพินิจไม่ธรรมดา เขากลับมาเริ่มต้นที่บ้านเกิด แปดริ้ว ฉะเชิงเทรา
ช่วยทางบ้านทำธุรกิจเอเยนต์เก่าแก่ชื่อ หจก. ไทยบำรุงการค้าบุหรี่ค้าเหล้าที่ทำให้ใกล้ชิดกลุ่มเตชะไพบูลย์
กิจการดั้งเดิมมีกิจการโรงสีหลายแห่ง เช่นโรงสีไฟรุ่งเรืองคลองเจ้า โรงสีกิมเซ่งล้ง
โรงสีปากคลองพญาสมุทร เป็นต้น พินิจเป็นคนมีเพื่อนมาก ร่วมกับเพื่อนเก่ารับซื้อกุ้งกุลาดำจนกระทั่งปัจจุบันเป็นผู้รับซื้อกุ้งกุลาดำรายใหญ่ตั้งแต่ตราดลงมาถึงแปดริ้ว
สมุทรปราการ
แต่ความปรารถนาเป็นนักการเมืองไม่เคยปรานีใคร ปี 2529 และปี 2531 ชื่อพินิจ
จารุสมบัติก็ปรากฏลงเลือกตั้งในนามพรรคราษฎรที่ฉะเชิงเทรา แต่พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น
ส.ส. ทั้ง ๆ ที่ปี 2531 ผองเพื่อนร่วมขบวนการอย่างเช่น ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ
อดีต รมช. มหาดไทยและสุธรรม แสงปทุม รองประธานรัฐสภาปัจจุบันได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นทั้งคู่
แม้จะอับโชคทางการเมืองปี 2531 แต่พินิจก็โชคดีภายหลังระหว่างปี 2532-34
นับว่าเป็น ปีเงินปีทองของพินิจจริง ๆ
"ผมประสบความสำเร็จและได้เงินได้ทองมากที่สุดคือค้าที่ดินแถวชลบุรีแปดริ้วและระยอง
บางแปลงผมซื้อวันเดียวขายไปสามทอดราวกับซื้อขนมซื้อของเล่น" พินิจเล่าให้ฟัง
นี่คือส่วนหนึ่งของฐานเงินทุนก้อนใหญ่ของพินิจที่ใช้ในการลงเลือกตั้งในเดือนกันยายน
ปี 2535 ซึ่งครั้งนั้นพินิจวิเคราะห์ภูมิศาสตร์การเมืองแล้ว เห็นว่าควรย้ายไปลงเขตจังหวัดหนองคายในนามพรรคเสรีธรรมซึ่งเป็นพรรคเล็กที่มี
ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์เป็นหัวหน้าพรรค ในที่สุดก็สมความปรารถนา ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร
และได้รับโควต้าเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในชุดรัฐบาลชวน 2 ในปี
2536
ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการคมนาคมที่พินิจได้รับตั้งแต่เป็น ส.ส. สมัยแรกจะเกี่ยวข้องกับสถานะ
"ถุงเงินของพรรค" หรือไม่นั้น พินิจปฏิเสธว่า "พรรคเสรีธรรมของเราเป็นพรรคเล็ก
เลือกตั้งคราวนี้ได้มา 11 เสียงไม่ใช่ผมเป็นถุงเงินถุงทองของพรรคก็พูดกันไป
เพียงแต่เรามีความจริงใจให้กับเพื่อนและผู้สมัคร เมื่อชวนเขามา เราก็ต้องช่วยเหลือเต็มที่
ผมไม่มีสินทรัพย์บารมี เมื่อเป็นรัฐมนตรีก็ปกติธรรมดา ใครจะมาเรียกผมว่าท่าน
ๆ ผมยังไม่ชอบเลย หรือเพื่อนฝูงยกมือไหว้ผมยังถามว่าทำไมมึงต้องทำอย่างนั้น
ผมรู้ว่าตำแหน่งทางการเมืองเป็นหัวโขนชั่วคราวเป็นสิ่งหลอกลวงไม่เที่ยงแท้
มาวันนี้วันหน้าก็ต้องไป อย่าลืมตัวนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"
ในอดีตของนักศึกษาหัวก้าวหน้าที่รับใช้ประชาชน พินิจเป็นผู้นำการต่อต้านระบอบเผด็จการที่มีต้นตอปัญหาจากจักรวรรดินิยมขุนศึกศักดินา
ในฐานะรองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย กรณีต่อสู้เรียกร้องในกรณีเหมืองแร่เทมโก้
และการฆ่ายัดถังแดงที่จังหวัดพัทลุง เป็นผลงานเด่นของพินิจกับกรรมการศูนย์นิสิตนักศึกษาอย่างเช่น
พีรพล ตริยเกษม, สัมภาษณ์ สืบตระกูล
"สหรัฐอเมริกาเป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นมา
พร้อมกันนั้นชนชั้นปกครองในระดับสูงของเราหลายคน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งทหารและพลเรือนคอยเป็นสมุนรับใช้อเมริกาตลอดมา
การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปโดยผู้บริหารระดับบนทั้งสิ้นแต่ฝ่ายเดียว"
บางตอนของคำสัมภาษณ์พินิจในหนังสือพิมพ์ "ประชาชาติ" รายสัปดาห์เมื่อ
6 มีนาคม 2518
วันนี้บทบาทเปลี่ยน แต่คนไม่เปลี่ยนภายใต้เงื่อนไขต่อสู้เผด็จการสู่ยุคเสรีโลกานุวัตร
จากพินิจผู้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ยากไร้ที่ถูกฆ่าคดียัดถึงแดงที่พัทลุง
ได้พัฒนาสู่การต่อสู้เพื่อบริการโทรคมนาคมรับใช้ชนชั้นกลางประเภท "ไร้สาย"
และ "มีสาย" รวมทั้งต่อรองผลประโยชน์ระหว่างภาครัฐกับกลุ่มยักษ์ใหญ่ธุรกิจที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่ากลุ่มนายทุนผูกขาดยุคเผด็จการครองเมือง
ล่าสุดผลงาน 17 โครงการสมัยที่พินิจอยู่ในตำแหน่ง รมช. คมนาคมใน 1 ปี 10
เดือน พินิจคุยว่า "ผมมีผลงานมากที่สุดในกระทรวง" เช่น โครงการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
10,000 วงจร, สร้างศูนย์โทรคมนาคมที่บางรัก 30 ชั้นมูลค่า 2,000 กว่าล้านบาท,
วางเคเบิลใยแก้วเชื่อมทุกจังหวัด, โครงการวีแซทเสรี, โครงการอินเตอร์เนต,
โครงการอัพลิงค์ ดาวน์ลิงค์, โครงการอีเรเดียมของยูคอม, โครงการอิมาแซทพีของชินวัตร,
โครงการทรังค์เรดิโอของสหวิริยา,โครงการลดราคาบริการมือถือ 50 บาท, โครงการเร่งรัดติดตั้งเบสสเตชั่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ,
โครงการปรับปรุงการบริหารความถี่, โครงการวิทยุร่วมพลเรือน, โครงการเพจเจอร์ข้าราชการ,
โครงการร่วมทุนระหว่างการสื่อสารแห่งประเทศไทยกับบริษัททีเอไปต่างประเทศ
และโครงการพยากรณ์อากาศเพื่อพัฒนาประเทศ
แต่ละโครงการล้วนแล้วแต่เป็นผลประโยชน์ที่น่าจับตา พินิจซึ่งจะต้องต่อรองกับบริษัทยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็ก
ซึ่งพินิจอ้างประโยชน์ของประชาชนต้องมาก่อนอันดับหนึ่ง บ้างก็เล่าลือถึงความเป็นถุงเงินถุงทองของพรรคเสรีธรรมในฐานะเลขาธิการพรรคฯ
บางคนก็ร่ำลือถึงความร่ำรวยผิดปกติสมัยเป็นรัฐมนตรี เรื่องนี้พินิจปฏิเสธทันควันว่า
"ไม่จริง เสียงเล่าลืออาจจะมาจากเสียงอิจฉาริษยาก็มี หรืออาจจะมาจากความไร้เดียงสา
รู้ไม่จริง ซุบซิบนินทา ตามสังคมเก่า ผมไม่หงุดหงิด ผมบอกว่าเป็นนโยบายว่า
ไม่มีใครจ้างเราได้ ให้ผลประโยชน์เรา เราไม่รับ หรือเราก็ไม่ไปเรียกร้องผลประโยชน์
แม้แต่ทีมงานของผม ผมจะสั่งหมดทุดคน เอกชนไม่ต้องเสียค่าน้ำร้อนน้ำชา เขาก็เกิดความพึงพอใจแต่ถ้าหากเขาอยากจะช่วยเราในฐานะเป็นนักการเมืองที่มีหลักการดีมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง
เขาก็มาสนับสนุนช่วย ระหว่างเลือกตั้ง เป็นการช่วยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติหรืออนุญาตใด
ๆ"
สินทรัพย์ที่พินิจเปิดเผยให้ฟังมีบ้านอาศัยอยู่หลังเดียวที่กรุงเทพ ส่วนที่ดินที่ซื้อไว้ส่วนตัวที่กรุงเทพฯ
บางแปลงและแปลงที่ยังไม่ได้ขายอีกที่แปดริ้ว ส่วนธุรกิจกุ้งกุลาดำยังเป็นธุรกิจหลักที่ร่วมกับเพื่อน
เป็นคนกลางรับซื้อเข้าห้องเย็น "ผมไม่ได้ตั้งบริษัท อย่างที่แปดริ้ว
ในนามของพินิจคนก็รู้แล้ว เป็นเครดิตส่วนตัวไม่รู้สิว่าเป็นเจ้าพ่อหรือเปล่า
?"
วันนี้ดาวแดงอาจอับแสง จักรวรรดินิยมแปลงรูป เปลี่ยนสัญชาติป่าที่เคยอยู่อาจเป็นรีสอร์ท
ทุนนิยมยังยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง และ "พวกเขา" อาจถูกมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
แม้ว่าบทบาทและภาระหน้าที่ในสังคม "พวกเขา" จะตรงกันข้ามกับในอดีต
แต่ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิต "พวกเขา" คือคนที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์
และเป็นคนหนุ่มสาวที่อาจหาญเสียสละและเป็นตัวอย่างของคนรุ่นหลังนับไม่ถ้วน
อย่างน้อย ๆ ภาพบันทึกและความทรงจำอันงดงามเมื่อ 22 ปีที่แล้วในตัวพวกเขายังคงอยู่
....