"อีกกี่สิบปี เมืองใหม่ไทยก็ยังไร้วี่แวว"


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2538)



กลับสู่หน้าหลัก

ความปรารถนาที่จะสรรค์สร้างเมืองใหม่ขึ้นมารองรับความแออัดของกรุงเทพฯ นั้น เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษแล้ว จนล่าสุดแนวความคิดเรื่องเมืองใหม่ผุดขึ้นมามากมายราวดอกเห็ด แต่แนวความคิดเหล่านั้นมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำและผลประโยชน์ของผู้ทำงานรอบข้าง

นับแต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เริ่มบุกเบิกความคิดที่จะย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปยังเพชรบูรณ์ เนื่องด้วยได้มีการคาดการณ์แล้วว่ากรุงเทพฯ จะต้องแออัดยัดทะนานอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้นั้น จากจุดนี้เองแนวความคิดเมืองหลวงใหม่ หรือ เมืองใหม่ ก็ได้มีการสืบทอดความคิด ที่จะขยายความฝันให้เป็นจริงให้ได้ในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา ณ วันนี้ที่มาเลเซียได้ประกาศ VISON 2000 ที่จะเนรมิต "ปุตราจายา" ให้เป็นเมืองใหม่ยุคไฮเทคนั้น

แต่เมื่อหวนมาดูเมืองไทยความคิดเรื่องเมืองใหม่ ก็ยังวิ่งไปมาเหมือนวัวพันหลักเช่นเดิม

ความคิดเรื่องเมืองใหม่แม้ว่าจะหยั่งรากมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เพิ่งจะเริ่มเอาจริงเป็นรูปเป็นร่างในสมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ได้เริ่มศึกษาการตั้งเมืองใหม่ที่ตลิ่งชันและในสมัย พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ก็ได้ขยายความคิดต่อที่จะใช้ อ. ธัญบุรี จ. ปทุมธานี เป็นสมรภูมิเมืองใหม่อีกแห่งหนึ่ง แต่แล้วด้วยความแปรผันทางการเมือง ทำให้ความคิดทั้งหลายดังว่า ถูกใส่ลิ้นชักปิดตายไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดอีกเลย

จนถึงรัฐบาลของชวน หลีกภัย ความคิดเรื่องเมืองใหม่ก็ถูกนำมาปัดฝุ่นอีกครั้ง ทั้งนี้เนื่องด้วยมีแรงผลักดันสำคัญจากพรรคความหวังใหม่ โดย พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีการเร่งรัดให้กรมที่ดิน และสำนักผังเมืองซึ่งเป็นกรมการผังเมืองในปัจจุบัน ทอดสายตาไปให้รอบ กทม.ในระยะ 100-200 กม. ว่าที่ใดเหมาะสมจะเนรมิตให้เป็นเมืองใหม่ได้บ้าง

ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่น่าจะเป็น 3 แห่งคือ 1. กำแพงแสน และนครชัยศรี จ. นครปฐม 2. อ. บ้านนาและองครักษ์ จ. นครนายก 3. อ. สนามชัยเขตและกิ่ง อ. ท่าตะเกียบ จ. ฉะเชิงเทรา และหลังจากผ่านการพิจารณาด้านต่าง ๆ แล้ว เนื่องด้วย 2 เขตแรกอยู่ในบริเวณภาคกลาง ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ การสร้างเป็นเมืองใหม่ขึ้นมาก็เท่ากับทำลายความอุดมสมบูรณ์เพื่อมาเป็นเมืองใหม่ ซึ่งจะได้ไม่เท่าเสีย จึงเหลือเพียงทางเลือกสุดท้าย คือ อ. สนามชัยเขต และกิ่ง อ. ท่าตะเกียบซึ่งแม้เขตป่าอนุรักษ์ และเขตป่าเสื่อมโทรม แต่ด้วยความกันดารของพื้นที่ที่มีความคุ้มค่ามากกว่าที่อื่น สายตาทุกคู่จึงพุ่งเป้ามาที่นี่ โดยหวังว่าเมืองใหม่ที่ตั้งตารอจะเกิดขึ้นได้จริงในครั้งนี้

ความหวังที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในช่วงนั้น เนื่องจากกระแสผลักดันจากผู้นำสูงสุดของกระทรวงนอกจาก พล.อ. ชวลิต แล้วชำนิ ศักดิเศรษฐ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลงานสำนักผังเมืองและเป็นผู้ผลักดันเรื่องเมืองใหม่มาตั้งแต่ต้น ก็ได้เข้ามาล้วงลูกเรื่องนี้อย่างถึงลูกถึงคน แหล่งข่าวจากกรมการผังเมืองเปิดเผยว่า ในช่วงนั้น รมช. ชำนิจะมาขลุกอยู่ที่กรมเกือบทุกวัน และให้ความมั่นอกมั่นใจว่าที่ท่าตะเกียบและสนามชัยเขต จะได้เกิดเป็นเมืองใหม่ในยุคของนายกฯ ที่ชื่อชวน หลีกภัยอย่างแน่นอน

แต่แล้ว รมช. ชำนิก็ต้องแห้วไปตามระเบียบ

นอกจากกระแสผลักดันให้เกิดเมืองใหม่จะมาจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว เมืองใหม่ตามแนวความคิดของหน่วยงานเช่นการเคหะแห่งชาติ ก็ได้เตรียมผลักดันโครงการเมืองใหม่ กคช. ที่ อ. เมืองฉะเชิงเทราโดยเตรียมเนื้อที่ไว้มากถึง 7-8,000 ไร่ ได้มีการนำเสนอกระทรวงมหาดไทยแล้ว แต่เรื่องจะยังชะงักอยู่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาล ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือ "สภาพัฒน์" ก็ได้เตรียมจะผลักดันโครงการเมืองใหม่ที่บริเวณรอบสนามบินแห่งชาติแห่งที่ 2 ที่หนองงูเห่า ขณะที่ กทม. เองก็มีโครงการยกฐานะ อ. ชานเมืองหลายจุดให้รวมกันเป็นเมืองบริวาร (Satellite Town) ในอนาคตอีกด้วย

จากความเปลี่ยนแปลงบนเส้นทางของการเกิดเมืองใหม่ที่ผ่านมา สามารถสรุปปัจจัยความล้มเหลวได้ว่า ประการแรกเกิดจากการขาดวิสัยทัศน์ (Vision) ที่แหลมคมและชัดเจนของผู้นำการเมืองแต่ละยุค เราจะพบว่าความคิดที่จะสรรค์สร้างเมืองใหม่ในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมานั้น เป็นไปเพื่อสนองตอบแรงผลักดันทางการเมืองในขณะนั้นเท่านั้น

จะพบว่าสิ่งที่ขาดไปของผู้นำการเมืองทุกยุค คือความกล้าที่จะประกาศวิสัยทัศน์ของตนอย่างแน่ชัดว่าจะยกให้จังหวัดใดเป็นเมืองใหม่ เนื่องด้วยผู้นำเหล่านั้นทราบดีว่า การประกาศออกไปนั้น ย่อมเป็นการผูกมัดตัวเองกับอนาคตที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แหล่งข่าวผู้คลุกคลีกับโครงการเมืองใหม่ให้ทัศนะว่าผู้นำการเมืองที่ขึ้นมามีอำนาจ มักจะถูกมองว่า กำลังจะผลักแรงสนับสนุนไปช่วยจังหวัดที่เป็นฐานคะแนนเสียงของตัวเองหรือไม่ จึงทำให้ผู้นำการเมืองจะต้องชั่งใจให้ดีหากจะเลือกจังหวัดของตนขึ้นมาเป็นเมืองใหม่

"ในช่วงที่ชวน หลีกภัยเป็นนายกฯ นั้น ก็มีการเพ่งเล็งจากสาธารณะอย่างมากกว่า รัฐบาลชุดนั้นทุ่มงบประมาณไปบำรุงทางภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดตรังมากเกินไปหรือไม่ จนนายกฯ ชวนต้องออกมาตอบโต้ทุกครั้งจนไม่กล้าจะมีวิสัยทัศน์เป็นของตัวเอง ซึ่งตามปกติวิสัยของนักการเมืองทุกคน ก็จะต้องสร้างความเจริญให้กับท้องถิ่นที่เลือกตนขึ้นมาเป็นสำคัญ"

นอกจากการขาด Vision แล้ว ผู้นำการเมืองที่ผ่านมามักจะยึดติดกับการแก้ไขปัญหาเมืองใหม่ เพื่อจะผ่อนคลายปัญหาความแออัด และปัญหาด้านต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ เป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงหลักการที่ถูกต้องว่าน่าจะเป็นไปเพื่อสร้างเมืองใหม่ เพื่อการเติบโตในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้เมืองใหม่มีความเป็นเอกเทศของตัวเองไม่เกาะติดกับกรุงเทพฯ อีกต่อไป

ขวัญสรวง อติโพธิ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ทัศนะว่า แนวความคิดในการแก้ไขเมืองใหม่ที่ผ่านมานั้นเกิดจากพื้นฐานที่ผิดพลาดดังกล่าวทั้งสิ้น สิ่งที่ควรจะกระทำนั้นก็คือ การกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น เพราะการให้ท้องถิ่นมีอำนาจปกครองตนเองในระดับสภาตำบลเท่านั้นไม่เพียงพอสำหรับเมืองไทย

การกระจายให้หน่วยงานหลักระดับกระทรวงไปประจำภูมิภาคต่าง ๆ มีอำนาจตัดสินใจเฉพาะภูมิภาคนั้น ๆ ไปเลย ก็จะเป็นการโยกย้ายข้าราชการส่วนหนึ่งจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาคโดยปริยาย

"จุดนี้นอกจากจะทำให้อำนาจส่วนกลางเล็กลงแล้ว การอพยพโยกย้ายครอบครัวของข้าราชการไปสู่ภูมิภาคก็จะเป็นไปโดยอัตโนมัติด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะหลั่งไหลไปรองรับ ในขณะที่ราคาที่ดินก็จะต้องแพงขึ้นด้วยอย่างแน่นอน"

ปัจจัยประการต่อมาที่มีผลต่อความล้มเหลวของเมืองใหม่นั้นก็คือ การขาดศูนย์รวมทั้งนโยบายและการปฏิบัติในการสร้างเมืองใหม่เป็นหนึ่งเดียว

โดยขณะนี้โครงการเมืองใหม่ที่อยู่ในมือของหน่วยงานราชการต่าง ๆ เป็นไปในลักษณะของต่างฝ่ายต่างทำทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลให้ขาดทิศทางที่ถูกต้องว่าเมืองใหม่ที่เหมาะกับเมืองไทยนั้นควรจะไปในทิศทางใด โดยน่าจะถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะมีการตั้งหน่วยงานระดับกระทรวงขึ้นมา ซึ่งเคยมีดำริขึ้นมาก่อนหน้า อย่างเช่นกระทรวงก่อสร้างและโยธา หรือกระทรวงถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ซึ่งจะรับเรื่องนี้เข้ามาดูแล

มติ ตั้งพานิช ผู้คลุกคลีและผลักดันโครงการเมืองใหม่ที่ท่าตะเกียบมาตั้งแต่ต้นเปิดเผยว่า ตนเองได้เคยเสนอให้มีการก่อตั้งกระทรวงก่อสร้าง และการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยที่ พล.อ. ชวลิตเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ก็ถูกบอกปัดมาทุกครั้ง โดยอ้างว่ายังไม่ถึงเวลา จนเป็นเรื่องธรรมดาที่หน่วยงานที่คุมเรื่องเมืองใหม่จะต้องมีความขัดแย้งกันบ่อยครั้ง เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานกลางเข้ามาดูแลโดยตรง

โดยที่เห็นเด่นชัดในปัจจุบันคือ ความขัดแย้งระหว่างกรมการผังเมืองและสภาพัฒน์ในโครงการเมืองใหม่ที่ท่าตะเกียบ ทางสภาพัฒน์ค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยที่เมืองใหม่ท่าตะเกียบจะย้ายไปอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มากเกินกว่า 200 กม. ในขณะที่สภาพัฒน์เสนอว่าการมีเมืองใหม่อยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯมากนัก โดยอยู่ใกล้เคียงกับสนามบินหนองงูเห่านั้นถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าจะเป็นไปได้ในความเห็นของสภาพัฒน์

ความขัดแย้งระหว่างสภาพัฒน์และกรมการผังเมืองครั้งนี้ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ในภาวะปัจจุบันที่เมืองใหม่ท่าตะเกียบไม่สามารถเกิดขึ้นได้ นอกจากผู้ผลักดันมาตลอดเช่น พล.อ. ชวลิตไม่ได้ควบคุมโดยตรงในจุดนี้รวมถึงอดีต รมช. ชำนิ ที่ไม่มีบทบาททางการเมืองในช่วงนี้แล้ว การไม่เห็นด้วยของสภาพัฒน์ต่อโครงการนี้ ก็ทำให้โอกาสเกิดของโครงการนี้เป็นไปยากขึ้นอีก โดยเป็นที่ทราบกันในวงการว่า การตีตรายางเห็นด้วยกับโครงการใดของสภาพัฒน์ นับว่ามีน้ำหนักเป็นอย่างมากต่อการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี

จากปัจจัยความล้มเหลวทั้งหลาย หากจะเจาะเข้าไปดูโอกาสเกิดของเมืองใหม่แต่ละที่แล้ว ในส่วนของเมืองใหม่ที่ท่าตะเกียบซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1,084 ตาราง กม. หรือประมาณ 677,500 ไร่ ในพื้นที่ของป่าสงวนแห่งชาติแควระบบสียัด ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1.7 ล้านไร่ และเป็นป่าเสื่อมโทรมมากกว่าร้อยละ 50 และมีประชากรปัจจุบันประมาณ 34,000 คนนั้น ถือได้ว่ามีข้อมูลเพียบพร้อมในการเกิดเป็นเมืองใหม่ได้แห่งหนึ่ง

ทั้งนี้ได้มีการเตรียมพร้อมนโยบายหลายประการไว้รองรับความเป็นเมืองใหม่ในอนาคต เช่นด้านสิ่งแวดล้อม มีการกำหนดให้เป็นเมืองที่มีการนำเอาสิ่งที่ใช้แล้วกลับมาใช้ได้อีก และได้กำหนดหลักการสำคัญให้ใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pay Principle) มีแนวความคิดใหม่ในการวางผังเมืองที่จะประสมประสาน การใช้ที่ดินในส่วนที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลางและหนาแน่นมากเข้าด้วยกัน กำหนดให้มีศูนย์กลางชุมชน 3 รูปแบบคือ ศูนย์กลางเมือง ศูนย์กลางรอง และศูนย์กลางระดับเล็กสุด

การคมนาคมขนส่งเป็นหัวใจหลักประการสำคัญของเมืองใหม่เช่นท่าตะเกียบ การกำหนดโครงข่ายระบบทางหลวงพิเศษ (Motor Way) หรือทางหลวงสายหลักเส้นใหม่ โครงการข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ต่อเชื่อมกับโครงข่ายเดิมจากกรุงเทพฯ-มาบตาพุด รวมถึงสนามบินภายในระดับประเทศ

ในส่วนของการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้มีการกำหนดให้มีระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เข้าไปอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน โดยเป็นการวางเครือข่ายให้เชื่อมโยงตามแนวอาคาร มีศูนย์กลางพลังงาน ที่เป็นโรงงานผลิตไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซธรรมชาติ การเผาขยะ หรือโรงผลิตน้ำเย็นโดยใช้ความร้อนที่เหลือใช้จากการผลิตไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีโรงบำบัดน้ำเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

ศักดา ทองอุทัยศรี ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาเมือง และโครงการเมืองใหม่ กรมการผังเมืองเปิดเผยว่า แผนงานและนโยบายทั้งหมดได้มีการวางไว้เรียบร้อย ตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ต้องมาติดขัดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

"ในส่วนของกรมการผังเมืองพร้อมจะร่วมผลักดันทางด้านปฏิบัติอย่างเต็มที่ในฐานะผู้ปฏิบัติ โดยคงต้องรอให้ทางการเมืองตัดสินเสียก่อนว่าจะเอาเช่นไร แต่ต้องยอมรับว่าการขาดช่วงในการพัฒนาไป มีผลให้นักลงทุนที่เคยติดต่อและสนใจจะเข้ามาร่วมทำโครงการในส่วนของภาคเอกชนนั้น ซบเซาไปด้วย"

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าว ณ พื้นที่ท่าตะเกียบเปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ได้มีการเตรียมการจะผลักดันเข้าสู่การประชุมของคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ โดยสุชาติ ตันเจริญซึ่งมีตำแหน่งเห็น รมช. กระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบันและเป็น ส.ส. ของจังหวัด ซึ่งมีบ้านเกิดที่แถบอำเภอสนามชัยเขตด้วยนั้น พร้อมจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่

ในส่วนของเมืองใหม่แห่งอื่นเช่นของการเคหะแห่งชาตินั้น ล่าสุดอยู่ระหว่างเตรียมการจัดซื้อที่ดิน จากผู้เสนอขายทั้งสิ้น จำนวน 3 แปลง บริเวณอำเภอเมือง จ. ฉะเชิงเทรา รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 7-10,000 ไร่ ซึ่งด้วยความคล่องตัวของการเคหะฯ ที่เป็นรัฐวิสาหกิจจึงทำให้การเคหะฯ สามารถดำเนินเป็นแผนต่อเนื่องได้และเนื่องด้วยเป็นโครงการที่ค่อนข้างชัดเจน การแทรกแซงทางการเมืองจึงเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก

แต่เนื่องด้วยเมืองใหม่ของการเคหะฯ เกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้อาศัยเท่านั้น จึงไม่ค่อยตรงกับแนวความคิดเมืองใหม่สมบูรณ์แบบมากนัก จึงบรรเทาปัญหาความคับคั่งไปได้ระดับหนึ่งเท่านั้น

ส่วนเมืองใหม่ของสภาพัฒน์ และเมืองบริวารของ กทม. นั้นก็เป็นโครงการในกระดาษ ที่จะต้องรอการผลักดันอีกหลายยก โดยในส่วนของเมืองใหม่ที่หนองงูเห่าเท่านั้น แม้ว่าจะมีธนาซิตี้ไปปูทางไว้ให้แล้ว แต่การปลุกปั้นให้สนามบินหนองงูเห่าเสร็จโดยเร็ว ก็จะช่วยให้การตัดสินใจของนักลงทุนที่จะไปพัฒนาที่ดินแถบนั้นรวดเร็วตามไปด้วย

ส่วนเมืองใหม่ของ กทม. นั้น เนื่องด้วยโครงการในมือของ กทม. มีอีกมากมาย ทั้งในส่วนของการแก้ไขปัญหาจราจรที่จะต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาล การริเริ่มที่จะสร้างเมืองใหม่ซึ่งเป็นโครงการใหญ่เช่นกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่ ร.อ. กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ผู้ว่า กทม. คนปัจจุบันจะนั่งในเก้าอี้ไปอีกไม่เกิน 1 ปี การเริ่มต้นงานใหม่ขนาดใหญ่เช่นนี้จึงไม่น่าจะเกิดขึ้น

ข้อสำคัญก็คือ เมืองใหม่ทั้ง 2 รูปแบบดังกล่าวนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากเมืองใหม่ของการเคหะฯ แต่อย่างใดที่จะไว้รองรับความต้องการของที่อยู่อาศัยและโครงการของภาคเอกชนเท่านั้น

แต่รูปแบบเมืองใหม่เช่นนี้ อาจจะเป็นรูปแบบที่เราต้องทำใจยอมรับก็เป็นได้

เนื่องจากโครงการเมืองใหม่เต็มรูปแบบจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นรูปแบบที่น่าจะเป็นไปได้ของเมืองใหม่แบบไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั่นก็คือ การผสมผสานระหว่าง Vision และผลประโยชน์ของนักการเมืองรวมถึงภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมโครงการให้พอเหมาะ นั่นหมายถึงการเป็นเพียง "เมืองใหม่เฉพาะกิจ"

มติ ตั้งพานิชให้คำนิยามเกี่ยวกับเมืองใหม่เฉพาะกิจว่า เมืองใหม่ในอนาคตไม่ควรกำหนดลงไปตายตัวว่า จะต้องเป็นเมืองข้าราชการรวมภาคเอกชนสมบูรณ์แบบ อย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน โดยแต่ละเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้นนั้นจะต้องทดแทน (Complement) ส่วนที่ขาดของเมืองอื่นได้ด้วย โดยอาจจะมีการแบ่งเมืองเป็นเมืองอุตสาหกรรม, เมืองเงิน, เมืองวัฒนธรรม หรือแม้แต่เมืองทางด้านการสื่อสาร

"จนถึงวันนี้ผมท้อพอสมควรแล้วกับการผลักดันเรื่องเมืองใหม่เกือบ 3 ปีที่ผ่านมา แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้ามีคนตั้งข้อสังเกตว่า คงต้องรอให้พลเอกชวลิตขึ้นเป็นนายกฯ ก่อน เมืองใหม่สมบูรณ์แบบจึงจะได้เกิดขึ้น แต่ผมรู้ว่าถ้าหากพลเอกชวลิตได้ขึ้นเป็นนายกฯ จริงแล้ว ท่านต้องมี Vision เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเด่นชัดแน่นอน"

เมืองใหม่ของไทยในวันนี้ จึงยังไม่บรรลุซึ่งความสำเร็จแม้แต่ในเรื่องแนวคิดให้ตรงกัน จนเป็นเรื่องที่น่าจับตาว่า เมื่อถึงปี 2000 ในขณะที่มาเลเซียฉลองเปิดเมืองใหม่ที่ปุตราจายานั้น

เราได้เริ่มเดินหน้าเรื่องเมืองใหม่กันแล้วยัง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.