|
หุ้นหลักทรัพย์ปี50ส่อแววเดี้ยง
ผู้จัดการรายวัน(18 ธันวาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
นางสาวธริศา ชัยสมุนทรโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ในปีหน้าถือว่าไม่น่าสนใจเข้าไปลงทุน เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้มาก โดยคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 16,000 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 780 จุด แต่การที่ในปีหน้าไม่น่าจะมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนน่าจะส่งผลให้รายได้และกำไรของบล.ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ทั้งนี้ ในปีหน้าเป็นช่วงที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆจะต้องมีการเตรียมความพร้อมรองรับกับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน) และการเปิดเสรีใบอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในอีก 5 ปีข้างหน้าซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันที่สูง ดังนั้นบริษัทต่างๆต้องมีการปรับรูปแบบในการทำธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและจะต้องมีการกระจายรายได้มาจากส่วนอื่นมากขึ้น จากปัจจุบันที่บล.ต่างมีรายได้หลักมาจากการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สูงถึง 84%
สำหรับบริษัทที่มีการพึ่งพารายได้หลักมาจากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะมีความเสี่ยงทางด้านการเปิดเสรีฯเช่น บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) หรือ KEST ที่มีสัดส่วนสูงถึง 80% นอกจากนี้จากการที่มีการเตรียมลดค่าคอมมิสชั่นจากการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตเหลือ 0.15% นั้น รวมถึงการอนุญาตให้นักลงทุนสามารถซื้อขายอินเตอร์เน็ตผ่านสาขาธนาคารนั้น น่าจะส่งผลดีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่มีบริษัทแม่เป็นธนาคาร คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BBL ที่มีสาขามากที่สุดถึง 700 สาขาทั่วไปประเทศ โดยน่าจะทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
“ปีหน้าบริษัทให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มโบรกเกอร์ในระดับที่ต่ำกว่าตลาด เพราะวอลุ่มการซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก และการที่ไม่มีหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนซึ่งจะส่งต่อรายได้ของบล.ประกอบกับเป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยน เพราะ โบรกเกอร์ต่างๆต้องมีการปรับทางด้านการดำเนินธุรกิจเพื่อที่จะรองรับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น-เสรีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ฯซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันสูง” นางสาวธริศากล่าว
นางสาวธริศา กล่าวอีกว่า นักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ ควรที่จะมีการเลือกลงทุนเป็นรายบริษัท ซึ่งบล.นครหลวงไทย แนะนำให้ลงทุน 2 บริษัท คือ บล.บัวหลวง เนื่องจากคาดว่าจะมีผลประกอบการและส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทดังกล่าวได้มีการร่วมทำธุรกิจกับ บริษัท มอร์แกนสแตนเลย์และจากการที่มีธนาคารคอยสนับสนุนและบริษัทดังกล่าวมีการขยายธุรกิจทางด้านอื่นๆโดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิปีหน้าอยู่ที่ 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีนี้ที่166 ล้านบาท
ส่วนอีกบริษัทคือ บล.ภัทร จากการที่เป็นบริษัทอันดับหนึ่งทางด้านงานวาณิชธนกิจมีสัดส่วนลูกค้าสถาบันและรายย่อยในสัดส่วนใกล้เคียงกันทำให้มาร์เกตแชร์ไม่แกว่งตัวมากประกอบกับ ซึ่งคาดว่ากำไรปีหน้าจะอยู่ที่ 602 ล้านบาท ลดลงจากปีนี้ที่ 679 ล้านบาทเนื่องจากในปีหน้าไม่มีบริษัทขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียน
นางสาวสิริณัฏฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยว่า แนวโน้มหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในปี2550 คาดว่าภาวะตลาดหุ้นจะมีลักษณะคล้ายกับในปีนี้ที่จะมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักเป็นช่วงๆ โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่เฉลี่ย 17,000 ล้านบาทต่อวัน
ในส่วนเรื่องการลดค่าธรรมเนียม(ค่าคอมมิชชั่น) ผ่านอินเตอร์เน็ตเหลือ 0.15% นั้นไม่ค่อยมีผลกระทบต่อรายได้ของบล.มากนัก ซึ่งคาดว่ารายได้ก็จะใกล้เคียงกับปีนี้ แต่บล.ต่างๆจะต้องมีการปรับตัวในเรื่องการขยายฐานรายได้มาจากส่วนอื่นมากขึ้น เพื่อรองรับกับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น
ทั้งนี้ บริษัทไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ฯเนื่องจากในด้านปัจจัยพื้นฐานราคาหุ้นส่วนใหญ่มีการสูงเต็มมูลค่าแล้ว โดยบริษัทแนะนำลงทุนเพียง 2 บริษัท คือ บล.บัวหลวง ที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยประเมินราคาหุ้นเหมาะสมปีหน้าอยู่ที่ 13.80 บาท และบล.ยูโอบี เคย์เฮียน โดยประเมินราคาหุ้นเหมาะสมที่ 6.80 บาท ส่วนบล.ภัทรก็ถือว่ายังน่าสนใจเข้าไปลงทุนจากเป็นโบรกเกอร์ขนาดใหญ่ โดยประเมินราคาหุ้นเหมาะสมอยู่ที่ 44 บาท
นักวิเคราะห์ บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในปีหน้าถูกกดดันจากการเปิดเสรีฯทำให้ต้องมีการปรับการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และในปีหน้าภาวะตลาดหุ้นก็ยังคงได้รับปัจจัยกดดันทางด้านการเมือง โดยมองว่าหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปีหน้าจะทรงๆตัวใกล้เคียงกับปีนี้ ซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายจะอยู่ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวัน จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 16,000 ล้านบาทต่อวัน
สำหรับในระยะยาวหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ไม่น่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนจากปัจจัยทางด้านการแข่งขันในอนาคตที่สูง ขึ้น ซึ่งหากนักลงทุนจะเข้าไปลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวควรเลือกลงทุนเป็นรายบริษัทมากกว่า
นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการที่ปีหน้าเศรษฐกิจจะมีการปรับตัวดีขึ้นก็จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 18,000 ล้านบาทต่อวันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งนักลงทุนควรที่จะเลือกลงทุนเป็นรายบริษัท โดยบริษัทแนะนำซื้อ บล.ภัทร และ บล.บัวหลวง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|