|

อาร์เอสเดินหน้าปรับภาพลักษณ์องค์กรโฟกัสดิจิตอล
ผู้จัดการรายวัน(15 ธันวาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
อาร์เอส ใส่เกียร์เดินหน้าต่อเนื่อง ปีหน้าเตรียมปรับโพซิชั่นนิ่งสู่ "เอ็นเตอร์เทนเมนท์ แอนด์ สปอร์ต คอนเทนท์ โพรไวเซอร์" เต็มกำลัง พร้อมโฟกัสธุรกิจสู่สื่อดิจิตอล หลังพบทางสดใส จากการปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ล่าสุดยิ้มรับรายได้จากภาพยนตร์ “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า”คาดมีกำไรกว่า 40 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีนี้ยอดรายได้แตะ 3,300 ล้านบาท
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯได้มีการปรับโมเดลธุรกิจ ใหม่ เพื่อเป้าหมายในการเป็น "เอ็นเตอร์เทนเมนท์ แอนด์ สปอร์ต คอนเทนท์ โพรไวเซอร์" และ "มัลติมีเดีย เซอร์วิส" ที่เน้นบริหารสินทรัพย์ทำรายได้ 360 องศานั้น โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า บริษัทฯกำลังเดินมาถูกทาง ดังนั้นในปีหน้าบริษัทฯมีแผนที่จะต่อยอดโมเดลธุรกิจอีกครั้งด้วยการรีแบรนด์ดิ้งโลโก้ของบริษัทฯและปรับโพซิชั่นนิ่งไปสู่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบเอนเตอร์เทนเมนท์ครบวงจรแทน
“หลังจากบริษัทฯได้มีการปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ถือได้ว่ากำลังเป็นสัญญาณที่ดี โดยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่บริษัทฯบริหารอยู่กำลังมีรายได้และมีผลกำไรเป็นที่น่าพอใจ จากเดิมในปีที่ผ่านมาที่ยังประสบกับภาวะการขาดทุนอยู่ แต่ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังติดภาพว่าอาร์เอสเป็นบริษัทเพลงเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงในปัจจุบันบริษัทฯดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์ หรือบันเทิงเกือบทุกรูปแบบ ส่วนเพลงถือเป็นวัตถุดิบในรูปแบบต้นน้ำ ที่จะต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆต่อไป เช่น คอนเทนต์ในรูปแบบดิจิตอล ขณะเดียวกันเพลง ไม่ได้เป็นตัวที่สร้างรายได้หลักแล้ว”
อย่างไรก็ตาม หากดำเนินตามโมเดลธุรกิจใหม่แล้วจะพบว่าบริษัทฯกำลังให้ความสำคัญกับสื่อดิจิตอลมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันเทรนด์สื่อดิจิตอลกำลังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี3 การดาวน์โหลดเพลงจากเว็บไซต์ ทำให้ที่ผ่านมาบริษัทฯยกเลิกการผลิตเทปคาสเซ็ตและขายโรงงานไปแล้ว และหันมาให้ความสำคัญกับสื่อดิจิตอลแทน เช่น การเปิดตัวศิลปินดิจิตอล อย่างดีดีซี รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางจำหน่ายคอนเทนต์เพลงในรูปแบบต่างๆ เช่น ผ่าน เว็บไซด์ www.mobiclub.net
ล่าสุดในปีหน้าบริษัทฯกำลังมีแผนที่จะรุกสื่อดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินดิจิตอล อย่างดีดีซี ที่จะมีซีรีส์ 2 ออกมาอีกครั้งในช่วงกลางปีหน้า และภายในเดือนนี้กำลังจะออกศิลปินในรูปแบบดิจิตอลอีก 1 โมเดล แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าโมเดลศิลปินดิจิตอลใหม่นี้ จะออกมาโดยมีโพซิชั่นนิ่งเป้นรูปแบบใด นอกจากนี้บริษัทฯยังเตรียมที่จะเพิ่มช่องทางจำหน่ายเพลงในรูปแบบเอ็มพี3 ขณะนี้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว เช่น การโหลดเพลงเอ็มพี 3 ของทางบริษัทฯผ่านเว็บไซต์ต่างๆ แต่ในปีหน้าจะเริ่มเป็นเอ็มพี 3 ในรูปแบบแผ่นซีดี ซึ่งอาจจะออกมาทั้งในรูปแบบ 1 แผ่น ต่อ 1 อัลบั้มของศิลปินหรืออาจจะเป็นหลายๆอัลบั้มรวมกันออกมาเป็น 1 แผนก็ได้ ซึ่งจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง
แสบสนิทฯปล่อยหมัดเด็ด รับทรัพย์กว่า 100 ลบ.
ในส่วนของธุรกิจภาพยนตร์ก็ได้มีการปรับโมเดลการผลิตเช่นเดียวกัน โดย 1 ปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ที่ออกฉายทั้งหมด 5 เรื่อง คือ ผีเสื้อสมุทร และไทยถีบ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ หลังออกฉายไม่ประสบความสำเร็จและประสบปัญหาการขาดทุน สาเหตุหนึ่งมาจากเป็นภาพยนตร์ค้างก่อนที่บริษัทฯจะปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ส่วนอีก 3 เรื่อง คือ รักจัง, ผีคนเป็น และเรื่องสุดท้ายที่กำลังเข้าโรงฉายอยู่ในขณะนี้ คือ แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า เป็นภาพยนตร์ที่อยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจใหม่ที่มีการทำวิจัยก่อนว่า ผู้บริโภคกำลังต้องการชมภาพยนตร์ประเภทไหน จากนั้นมีการควบคุมต้นทุนในการผลิต และมีการนำกลยุทธ์พาร์ทเนอร์ มาร์เก็ตติ้ง เข้ามาใช้ควบคู่กันด้วย
สำหรับภาพยนตร์เรื่องรักจังนั้นหลังจากเข้าฉายมีรายได้จากบ๊อคออฟฟิศในกรุงเทพฯกว่า 50 ล้านบาท และหลังจากนำรายได้ทั้งหมดมารวมกัน พร้อมหักต้นทุนแล้ว มีกำไรสุทธิกว่า20 ล้านบาท ส่วนภาพยนตร์เรื่องผีคนเป็น มีรายได้จากบ๊อคออฟฟิศในกรุงเทพฯ 30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10 ล้านบาท
ส่วนภาพยนตร์เรื่องแสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้าถือเป็นภาพยนตร์ที่กำลังจะสร้างรายได้สูงสุดให้แก่บริษัทฯ โดยคาดว่าจะมีรายได้กว่า 100 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิที่ 40 ล้านบาท พร้อมขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มภาพยนตร์ไทยที่มีรายได้สูงสุดแทนก้านกล้วย 80 ล้านบาท และโหน่งเท่งนักเลงภูเขาทอง
ขณะเดียวกันในปีหน้าบริษัทฯเตรียมผลิตภาพยนตร์อีก 5-6 เรื่อง ซึ่งต้นทุนการผลิตไม่เกินเรื่องละ 20 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกคาดว่าจะมีภาพยนตร์แนวผีคอมมาดี้ เรื่อง “ผีไม้จิ้มฟัน” เข้าฉาย นำแสดงโดยฉัตรชัย เปล่งพานิช จากนั้นยังมีภาพยนตร์เรื่อง “แรกบิน” นำแสดงโดย ศรราม เทพพิทักษ์ ที่เป็นภาพยนตร์เหลือเรื่องเดียวที่ค้างอยู่ ก่อนที่บริษัทฯจะปรับโมเดลธุรกิจใหม่
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า กลุ่มธุรกิจภาพยนตร์สามารถสร้างรายได้ให้บริษัทฯคิดเป็นสัดส่วน7-8 % หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท ของเป้ายอดรายได้ที่วางไว้ในปีนี้ที่คาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 3.2-3.3 พันล้านบาทและเติบโตขึ้น 25%
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|