ทีมที่ปรึกษาผู้ว่าการททท. เปิดไอเดีย ผสานแต่ละ ธุรกิจสู่เน็ตเวิร์กการตลาดธุรกิจท่องเที่ยว
"วัชระ" นำประสบการณ์ยุทธศาสตร์ 3 ด้านของประเทศสร้าง "ทัวริซึม
อิงค์" โกยรายได้ท่องเที่ยว "วิชา" ชูเทคโนโลยีโรงหนังไทยแข่งต่างชาติ
ปั้นสาขาสยาม พารากอนดาวเด่น หวังดึงหนังฮอลลีวูดใช้ไทยเปิดตัวหนังใหม่ในเอเชีย
"เดช" เน้นพีอาร์นำโปสเตอร์พี่โรนัลด์ขี่ควายในนาข้าวติดในแมคโดนัลด์ประเทศเป้าหมาย
"ดร.ธรณ์" แนะสร้างพิพิธภัณฑ์ขอมดักต่างชาติศึกษาประวัติศาสตร์ก่อนบินตรงไปเขมร
ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ ประธานคณะที่ปรึกษาผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเปิดเผย
"ผู้จัดการรายวัน" ว่า ทีมที่ปรึกษาผู้ว่าการ ททท.จะแบ่งการทำงานอย่าง
ชัดเจนแยกการทำงานออกจาก ททท.ที่เป็นภาครัฐ โดยทีมที่ปรึกษา จะทำงานด้วยมุมมองของภาคเอกชนที่เป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวไทย
ซึ่งประสานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน เพื่อให้การพัฒนาการท่องเที่ยวไทยมีมุมมองจากทั้ง
2 ด้าน
ทั้งนี้ ทีมที่ปรึกษามีหน้าที่นำเสนอไอเดีย เกี่ยวกับธุรกิจที่ตัวเอง ดำเนินการอยู่
เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการหากิจกรรมให้นักท่องเที่ยว
อยู่ในประเทศไทยนานขึ้น แต่ทุกนโยบายจะเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ ที่ใช้จ่ายต่อหัวสูง
ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม
"แนวคิดของท่านนายกฯจะ มองประเทศไทยเป็น บริษัทประเทศ ไทย จำกัด หรือไทยแลนด์
อิงค์ ดังนั้น ททท. ก็จะทำตัวเป็น ทัวริซึม อิงค์ เป็นหนึ่งหน่วยงานย่อยของหลายหน่วยงานขององค์กร
ใหญ่ ที่จะสร้างประโยชน์สูงสุด ให้เกิดขึ้นกับประเทศ โดยเฉพาะการสร้างรายได้"
สำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาและการลงทุน ของประเทศจะอยู่ที่ 1.การค้าและบริการ 2.
การผลิตและอุตสาหกรรม และ 3. การท่องเที่ยว ขณะนี้ตนเองรับหน้าที่อยู่ทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ดังกล่าว
คือ ภาคการค้าและบริการ ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ หอการค้าไทย,ภาคการผลิตและอุตสาหกรรม
ดำรง ตำแหน่งที่ปรึกษาประจำกระทรวงอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะที่ปรึกษาผู้ว่าการ
ททท.
"ผมเป็นนักเรียนที่ผ่านการเรียนรู้ยุทธศาสตร์ การลงทุนมาครบทุกด้านแล้ว หน้าที่ต่อจากนี้
คือ จะนำทั้ง 3 ด้านมาปรับใช้กับการท่องเที่ยว เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้าง
รายได้สูงสุด โดยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานการลงทุนในแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักภาพ ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนของภาครัฐหรือเอกชนก็ได้
แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์คือท้องถิ่น และ ททท."
นายวัชระกล่าวต่อว่า งานที่ตนเองรับผิดชอบ อยู่ในขณะนี้ คือ การเป็นประธานการจัดงานเอเปก
ซีอีโอ ซัมมิท 2003 ในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีผู้บริหารระดับ ซีอีโอ เข้ามาประชุมประมาณ
500 คน หากรวมผู้ติดตาม และครอบครัว ที่จะร่วมเดินทาง มาในครั้งนี้ด้วย คาดว่าจะมีประมาณ
5,000 คน และพักอยู่ในไทย 4-5 วัน
โดยกลุ่มที่จะเข้ามาร่วมประชุมครั้งนี้ เป็น กลุ่มนักท่องเที่ยวระดับสูงสุดของโลก
มีอำนาจการ ใช้จ่ายสูง การใช้จ่ายเงินทั้งที่พักและอาหารน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียง
10,000 บาทต่อวัน ททท. กำลังอยู่ระหว่างเตรียมแพกเกจท่องเที่ยวระดับพรี
เมี่ยมให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ หลังเสร็จสิ้นภารกิจการ ประชุม คาดว่าจะสร้างรายได้ให้ประเทศมหาศาล
"เมเจอร์ฯ" ดึงหนังฮอลลีวูดเปิดตัวในไทย
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด
(มหาชน) เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน"ว่า ในฐานะกรรมการของคณะที่ปรึกษา
ผู้ว่าการ ททท. ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจบันเทิง จึงมีความคิดจะนำเครือข่ายของตัวเองและของแต่ละที่ปรึกษามาช่วยเป็นแขนขาด้านการตลาด
เพื่อพัฒนาธุรกิจ ท่องเที่ยวไทย
ทั้งนี้ การจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ กรุงเทพฯ หรือ Bangkok International
Film Festivalที่ททท.ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์ ไทย ร่วมกันจัดขึ้นเป็นครั้งแรก
เป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยขยายตัว ซึ่งจะทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์สนใจเข้ามาสร้างภาพยนตร์ในประเทศไทยมากขึ้น
และเมื่อภาพ-ยนตร์ออกฉายในต่างประเทศ ชาวต่างประเทศก็จะเห็นแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย
จะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น เช่นเดียวกับที่นักท่องเที่ยวรู้จักตึกแฝด
ในมาเลเซีย จากภาพยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ 007
ประเทศไทยเคยเป็นที่รู้จักในสายตานักชมภาพยนตร์ทั่วโลกมาแล้ว จากเรื่อง The Beach
ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวทะเล หาดทรายสวยให้ประเทศไทย คาดว่าการจัดงานบางกอกฟิล์มฯจะพัฒนาให้ดีขึ้นในปีต่อไป
"ภาคเอกชนหลายฝ่ายที่ร่วมกันกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวนมาก
จะช่วยสร้างให้เกิดผลการตอบรับเป็นวงกว้าง ในทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาพ-ยนตร์
ในประเทศไทย ที่มีความก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะโรงภาพยนตร์ไทยที่มีเทคโนโลยี
การตกแต่งหรูหราในระดับมาตรฐานโลก"
นายวิชา กล่าวต่อว่า จากความก้าวหน้าของโรงภาพยนตร์ไทย และในฐานะที่อยู่ในธุรกิจโรงภาพยนตร์
จึงมีแนวคิดที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ด้วยการผลักดันประเทศไทยให้เป็นที่เปิดตัวภาพยนตร์ใหม่ของภูมิภาคเอเชีย
โดยเฉพาะ ภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่งจะช่วยดึงสื่อต่างประเทศที่ติดตามทำข่าวดาราดังของภาพยนตร์แต่เรื่อง
เข้ามาในประเทศไทยด้วย
เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ วางแผนจะใช้โรงภาพยนตร์สาขา สยามพารากอน ซึ่งเป็นแลนด์ มาร์ก
ที่โดดเด่นย่านใจกลางเมือง ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2547 เป็นโรงภาพยนตร์ตกแต่งหรูหรา
มีโรงขนาด 1,200 ที่นั่ง ซึ่งเหมาะสมที่จะใช้เป็นสถานที่เปิดตัวภาพยนตร์ใหม่ของภูมิภาคเอเชีย
ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุด
ในภูมิภาคนี้ ประเทศที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับไทยน่าจะเป็นเกาหลี แต่ก็มีขนาดของอุตสาหกรรมใหญ่
เป็น 2 เท่าของไทย แต่การเริ่มเข้ามาสนับสนุน ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบางกอกฟิล์มฯ
จะช่วยให้อุตสาหกรรมขยายตัวแข่งกับเกาหลีได้ในอนาคต
ขณะนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยก้าวหน้าแซงประเทศคู่แข่งอย่าง ฮ่องกง และสิงคโปร์ได้แล้ว
ทั้งในด้านขนาดตลาด และมาตรฐานของโรงภาพยนตร์ พบว่านักท่องเที่ยวจากฮ่องกง และสิงคโปร์
จะนิยมเข้ามาชมภาพยนตร์ที่เปิดตัวใหม่ ในประเทศไทย โดยระบุเป็นโปรแกรมหนึ่งของการเดินทางท่องเที่ยวในไทย
ทั้งนี้ การเปิดตัวภาพยนตร์ของฮอลลีวูดในประเทศไทย จะเปิดตัว ในระยะใกล้เคียงกับสหรัฐฯ
ซึ่งสามารถใช้เป็นโปรแกรมดึงนักท่องเที่ยวได้ทางหนึ่ง
แมคโดนัลด์ช่วยพีอาร์ดึงกลุ่มประชุม
นายเดช บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมคไทย จำกัด เปิดเผยว่า การเข้ามารับเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ว่าการ
ททท. สอดคล้องกับความตั้งใจของตนเองที่"ชีวิตนี้ต้องการทำเพื่อสังคม"
ที่ผ่านมาแมคโดนัลด์ ได้สนับสนุนด้านการท่องเที่ยว ของไทยมาโดยตลอด ด้วยการทำโปสเตอร์สนับ
สนุนการท่องเที่ยวไทย ไปติดในร้านแมคโดนัลด์ในต่างประเทศ ที่โดดเด่นที่สุดคือ "ปีอะเมซิ่งไทยแลนด์
1999-2000" ในปี 2544 ได้ผลิตโปสเตอร์ ชุด Be My Guest นำไปติดในร้านแมคโดนัลด์หลายประเทศถึงเกือบ
2 พันแผ่น โดยใช้งบส่วนตัวทั้งหมด และยังคงเป็นโครงการที่ทำต่อเนื่องมาถึงปีนี้
เนื่องจากเห็นว่าการท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้ประเทศไทยอย่าง
มาก จึงต้องการเข้ามาสนับสนุน
สำหรับแผนการทำประชาสัมพันธ์ด้วยโปสเตอร์ของแมคโดนัลด์ปีนี้ จะผลิตจำนวนมากขึ้น
โดยมี 2 แบบ คือ รูปพี่โรนัลด์ขี่ควายในนาข้าว และรูปตลาดน้ำ วางแผนจะนำไปติดในสาขาแมคโดนัลด์ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายของไทยจำนวน
20-30 ประเทศ ทั้งนี้ ไม่ได้เน้นที่จำนวนประเทศ แต่ต้องการติดโปสเตอร์ในประเทศ
เป้าหมายให้กระจายอยู่ในหลายสาขามากกว่า เช่น ในญี่ปุ่นที่มีร้านแมคโดนัลด์กว่า
1,000 แห่ง และเป็นประเทศที่ชอบท่องเที่ยวในไทย ซึ่งจะนำโปสเตอร์รูป พี่โรนัลด์ขี่ควายไปติด
เพราะนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นนิยมท่องเที่ยวธรรมชาติ และพักอาศัยอยู่กับชาวบ้านในชนบท
นอกจากนี้จะช่วย ททท. ดึงกลุ่มประชุมของ แมคโดนัลด์ ที่จัดประจำทุกปี ให้เข้ามาจัดในประเทศไทย
โดยตนเองจะเป็นผู้รับรองทีมออร์กาไนเซอร์จัดงาน เวลามาชมสถานที่ในไทยเพื่อตัดสินใจเลือกจัดประชุม
ในปี 2544 เริ่มมีกลุ่มประชุมระดับผู้จัดการแมคโดนัลด์เข้ามาใช้สถานที่ในประเทศไทย
และเริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คือ ในปี2545 ผู้จัดการในภูมิภาคอาเซียน 5 ประเทศมาร่วมประชุมประมาณ
1,000 คน และปีนี้จะมีผู้จัดการแมคโดนัลด์จากฮ่องกง และจีน จะเข้ามาประชุมประมาณ
1,000 คน การดึงกลุ่มประชุมของ แมคโดนัลด์จะเน้นในเอเชียเป็นหลัก เพราะอยู่ใกล้
ประเทศไทย การเดินทางสะดวก ใช้เวลาไม่นาน
นักวิชาการแนะทำพิพิธภัณฑ์ขอม
ทางด้านดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผย"ผู้จัดการรายวัน" ว่า ในฐานะกรรมการ
ที่ปรึกษาผู้ว่าการ ททท. ซึ่งเป็นฝ่ายวิชาการ ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโครงการด้านสิ่งแวดล้อม
และเยาวชน ขณะนี้ได้เตรียมนำเสนอแนวคิดไว้ 2 โครงการ คือ 1. การทำศูนย์ดูนกป่าชายเลนสมบูรณ์แบบ
หรือ Bird Center โดยพื้นที่ที่ศึกษาอยู่ในขณะนี้ คือ จ.สมุทรสงคราม ซึ่งจะใช้ความร่วมมือของ
อบต. สมาคมดูนก และกระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพด้านพัฒนาเส้นทางและเป็นผู้ลงทุน
ที่คาดว่าจะใช้งบไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยให้ททท.ทำหน้าที่โปรโมต
กลุ่มเป้าหมายของเบิร์ด เซ็นเตอร์ คือ เด็กนักเรียนในกรุงเทพฯ ที่สามารถใช้เป็นแหล่งการศึกษาได้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักดูนก และนักท่องเที่ยวทั่วไป
นอกจากนี้วางแผนจะพัฒนา"เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน" ในลักษณะเป็นเส้นทางท่อง
เที่ยวผจญภัย เช่นเดียวกับป่าชายเลนธรรมชาติที่ พรุโต๊ะแดง แต่จะพัฒนาเส้นทางขึ้นที่
จ.กระบี่ เนื่อง จากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างประเทศอยู่แล้ว เส้นทางดังกล่าวจะก่อให้เกิดการกระจายรายได้ของท้องถิ่น
จากการจ้างไกด์นำทาง ชาวบ้านในพื้นที่
ส่วนโครงการที่ 2 คือ การจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ ขอม ที่แสดงประวัติศาสตร์ขอมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
เนื่องจากประวัติศาสตร์ขอม จะมีอยู่ในประเทศไทย กัมพูชา และลาวเท่านั้น ซึ่งเส้นทางประวัติศาสตร์ที่เหมาะสมน่าจะเป็น
จ.บุรีรัมย์ ปัจจุบันประวัติศาสตร์ขอมกำลังเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
โดยเฉพาะนครวัด ที่น่าจะเป็น สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 1 ของโลกในขณะนี้ และการเดินทางที่สะดวกขึ้นในการไปนครวัด
ทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยแวะมาท่องเที่ยวในไทยก่อนไปนครวัด ได้เปลี่ยนเส้นทางบินตรงไปนครวัด
โดย มาประเทศไทยแค่แวะเปลี่ยนเครื่องบินเท่านั้น
การสร้างพิพิธภัณฑ์ขอม สามารถใช้ดักนักท่องเที่ยวให้เข้ามาแวะท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้ประวัติ-
ศาสตร์ก่อนเดินทางไปชมสถานที่จริงที่นครวัด ประเทศไทยยังมีโอกาสสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย
1 คืน ซึ่งการสร้างพิพิธภัณฑ์ขอมคาดว่าจะใช้งบลงทุนสูงถึง 1,000 ล้านบาท แต่เป็นสิ่งที่น่าจะสร้างขึ้นมากกว่าศูนย์ประชุม
ที่ใช้งบในระดับเดียวกัน และมีเพียงพอแล้วในตลาด
นอกจากนี้จะทำโครงการคู่มือมารยาทการท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากการท่องเที่ยวของคนไทย
เป็นหมู่คณะ ในอุทยานต่างๆ ด้วยการกลางเต็นท์ นอน และตั้งวงดื่มสุราจนดึกดื่นข้ามคืน
ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเอือมระอา และไม่อยากท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวอุทยานอีก