"ไม่เอา…ไม่พูด" เสียงปฏิเสธจากปากของกรพจน์ อัศวินวิจิตรที่ถูกนักข่าวรุมล้อมขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาค้างคาใจเรื่องเพิ่มทุนในสหธนาคาร
ท่ามกลางงานเลี้ยงเปิดตัวบริษัทพรูเด็นเชียล ทีเอสไลฟ์ ประกันชีวิต ซึ่งกลุ่มธุรกิจของตระกูลอัศวินวิจิตรถือหุ้นอยู่
30% และบางส่วนถือในนามสามพี่น้อง ได้แก่พี่ใหญ่-ธีรพงษ์ พี่กลาง-กรพจน์
และน้องเล็ก-ศุภพงษ์ อัศวินวิจิตร
แต่ในงานค่ำคืนนั้นสามพี่น้องมาพร้อมหน้าพร้อมตา โดยกรพจน์ในฐานะประธานกรรมการบริหาร
(ซีอีโอ) ของ "บริษัท พรูเด็น เชียล ทีเอสไลฟ์ ประกันชีวิต" ได้ยืนต้อนรับเคียงคู่อยู่กับ
มาร์ค ทัคเกอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทพรูเด็นเชียลคอร์ป เอเชียซึ่งบริษัทแม่ที่อังกฤษส่งไปดูแลสำนักงานในฮ่องกง
สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และไทย
ความยิ่งใหญ่และเก่าแก่นับ 150 ปีของพรูเด็นเชียล ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ได้เลือกหุ้นส่วนเป็นทีเอสไลฟ์แทนที่จะยื่นขอใบอนุญาตใหม่ตามนโยบายเปิดเสรีประกันภัย
นับว่าเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เพราะไม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ ไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
แต่สามารถจะเริ่มบุกตลาดประกันชีวิตได้ภายในปีหน้า หลังจากเตรียมงานอย่างหนักในปีนี้
โดยมีคริสโตเฟอร์ เอฟเวินส์เป็นกรรมการผู้จัดการ นี่คือจุดแข็งที่อัศวินวิจิตรได้มา
"ก่อนหน้านี้เราก็สนใจอยู่ 3-4 บริษัทเหมือนกันก่อนที่จะร่วมงานกันกับพรูเด็นเชียล
ทางเราเดินทางไปดูทั้งที่ออสเตรเลีย ยุโรป แต่เราเห็นพรูเด็นเชียลเขาเชี่ยวชาญด้านธุรกิจประกันชีวิตโดยเฉพาะ
ไม่เหมือนกับบริษัทอื่น ๆ ที่ทำทั้งประกันภัยและประกันชีวิต เราจึงมาคุยกันและตกลงเป็นหุ้นส่วนกัน
โดยพรูเด็นเชียลถือ 25% ตามกฎหมาย ขณะที่กลุ่มเราถือ 30%" กรพจน์เล่าให้ฟัง
ในอดีตเมื่อปี 2526 หลังจากอัศวินวิจิตรซื้อใบอนุญาต ทีเอสไลฟ์เคยจับคู่กับพันธมิตรธุรกิจอย่างอลายากรุ๊ปแห่งฟิลิปปินส์
ยักษ์ใหญ่ด้านเรียลเอสเตทประกันชีวิตและแบงก์ที่มีเครือข่ายในฮ่องกง มาเลเซียและไทย
แต่สายสัมพันธ์ทางธุรกิจไม่ราบเรียบ ในปี 2531 ที่มีการเพิ่มทุนเป็น 103
ล้าน จึงมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหม่เป็นบริษัทโอสถภาเต็กเฮงหยูและ บงล.
จีเอฟ 15% เพราะกรพจน์กับชินเวศ สารสาสเป็นเพื่อนกันและล่าสุดพันธมิตรธุรกิจคือกลุ่มพรูเด็นเชียล
"แน่นอน เพื่อนร่วมธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจสมัยนี้มีเยอะมากและขยายใหญ่ต้องอาศัยคอนเนกชั่น
และความชำนาญสามารถ EXPERTISE ของแต่ละกลุ่มมาร่วมบุกเบิกธุรกิจใหม่ ๆ ต่างจากรุ่นพ่อที่เติบโตมาต้องยืนบนขาตัวเองเท่านั้น"
ศุภพงษ์ให้ความเห็น
อาณาจักรธุรกิจของตระกูลอัศวินวิจิตรวันนี้ ต่างคนก็ต่างมีมุมธุรกิจของตัวเองที่ต้องดูแล
นอกเหนือจากการมีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทต่าง ๆ ที่ไปลงทุน ธีรพงษ์ในมาดพี่ใหญ่ดูแลธุรกิจดั้งเดิม
บริษัทแสงทองค้าข้าว (1968) ที่ติดอันดับทอปเท็นส่งออกข้างที่มีสไตล์การค้าแบบกล้าเสี่ยงเปิดตลาดใหม่
ที่คนอื่นไม่กล้าตั้งแต่สมัยบิดาคืออวยชัยที่กล้าค้าข้าวกับฟิลิปปินส์ในยามตกต่ำ
ผลตอบแทนที่อวยชัยได้รับนอกจากเงินตราแล้วก็คือตำแหน่งรองประธานหอการค้าไทย-ฟิลิปปินส์
ที่นำพามาซึ่งสายสัมพันธ์ธุรกิจร่วมกับยักษ์ใหญ่ธุรกิจฟิลิปปินส์อย่างอลายากรุ๊ปในเวลาต่อมา
ขณะที่กรพจน์จะเป็นหัวเรือใหญ่ฐานะดีลเมกเกอร์มือฉมังในการหาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจของครอบครัวให้เติบใหญ่
พร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์ทางการเมืองจนกระทั่งปัจจุบันได้รับแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิก
จึงไม่น่าแปลกใจที่แขกเหรื่อของกรพจน์จะเต็มไปด้วยนักการเมือง นักการธนาคาร
วงการประกันภัย และพ่อค้าส่งออกข้าว
ส่วนน้องเล็กสุดท้องอย่างศุภพงษ์ซึ่งเรียนจบปริญญาตรีจากบัญชี ธรรมศาสตร์
และจบเอ็มบีเอจากแคนซัส สหรัฐฯ ปัจจุบันดูแลบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพลที่กำลังผลักดันให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
ในปีหน้าหลังจากเคลียร์ภาพพจน์ของธนพลให้โปร่งใสไร้ราคิน จากกรณีที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทเอสจีวีอินเตอร์เนชั่นแนลของคนกันเองเมื่อปีที่แล้ว
คติพจน์จีนที่ว่า "ลูกต้องเก่งกว่าพ่อ จึงจะสืบสายกระจายกิจการให้ก้าวไกล"
สำหรับตระกูลอัศวินวิจิตรวันนี้มีกรพจน์เป็นผู้นำวัย 40 ประสบการณ์ทำงานตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปีหนึ่งคณะเศรษฐศาสตร์ภาคค่ำที่ธรรมศาสตร์
กรพจน์ก็สามารถเปิดตลาดค้าข้าวอิหร่านได้สำเร็จ ครั้งเรียนจบเอ็มบีเอจากเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียจากสหรัฐ
กลับคืนสู่ถิ่น มังกรหนุ่มอย่างกรพจน์ก็ติดปีกแตกตัวสู่ตลาดเงินตลาดทุน โดยอวยชัย
ผู้เป็นบิดาได้ฝากเนื้อฝากตัวลูกชายไว้กับชิน โสภณพานิชในวันเปิดสำนักงานบริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตที่อาคารสาธรธานีเมื่อปี
2527 เพียงสิบปีผ่านไป กรพจน์ไปไกลกว่าที่คิดไว้
"ส่วนใหญ่ธุรกิจของกลุ่ม คุณกรพจน์จะเป็นหัวเรือใหญ่นำทีม ขณะนี้ธุรกิจครอบครัวเรามีธุรกิจค้าข้าว
สหธนาคาร ซึ่งคุณกรพจน์เป็นกรรมการรองผู้จัดการ บริษัททีเอส ไลฟ์ ประกันชีวิต
บงล. ธนพล ส่วนประกันภัยก็ไปร่วมกับกลุ่มจีเอฟ คือ บริษัทสหสินคิวบีอี ประกันภัย"
ศุภพงษ์เล่าให้ฟัง
นอกเหนือจากนี้ การแตกไลน์ไปสู่ธุรกิจอุปกรณ์โทรคมนาคม โดยทางอัศวินวิจิตรก็ยังลงทุนในบริษัทไซเทค
(ประเทศไทย) และบริษัทไซเทค อินเตอร์เทรด เป็นตัวแทนจำหน่ายโทรสารและโทรศัพท์ของญี่ปุ่น
"นิตสุโกะ" ด้วย
ในปีหน้า ธุรกิจในกลุ่มอัศวินวิจิตรภายใต้การนำของกรพจน์กับพี่น้องสองศรีจะต้องฝ่ามรสุมเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง
จากแรงบีบของสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นศึกสองตระกูลในสหธนาคารกับการเพิ่มทุน
แต่เค้าหน้าตักของอัศวินวิจิตรยังมีอยู่ที่สินทรัพย์อีกมากมาย