|
ปิคนิคฯรุกขยายตลาดอินโดจีนหวังมาร์เกตแชร์"เวียดนาม"16%
ผู้จัดการรายวัน(4 ธันวาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ปิคนิคฯ เดินหน้ารุกขยายธุรกิจในเวียดนาม ตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแชร์จาก 5-6% ให้เป็น 15-16% ชี้อัตราการเติบโตต่อเนื่อง คาดใน 5 ปีพุ่งเท่าตัวจากปัจจุบัน "ประสิทธิ์" หวังรายได้ในเวียดนามเมื่อเทียบกับรายได้รวมพุ่งจาก 9% เป็น 25-30% ภายใน 2 ปี ขณะที่ธุรกิจในประเทศตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งจาก 9% เป็น 15% ระบุปัญหาหลักมีสินค้าไม่พอขาย
นายประสิทธิ์ เพ็ชร์ฆาฏ อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI กล่าวถึง แผนงานในการขยายธุรกิจเพื่อลงทุนในประเทศแถบอินโดจีน ประกอบด้วย ประเทศกัมพูชา ลาว เวียดนาม และบางส่วนในภาคใต้ของประเทศจีนว่า ปัจจุบันธุรกิจพลังงานในกลุ่มประเทศดังกล่าวเติบโตค่อนข้างมากเนื่องจากมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าไปลงทุนโดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม เพราะเพิ่งเปิดรับการเข้าลงทุนจากต่างประเทศไม่นานมานี้
ทั้งนี้ การเติบโตของภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเวียดนามในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี ซึ่งคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในอีก 5 ปีข้างหน้าก็ยังจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากความสนใจของทุนและภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มสนใจที่จะเข้าไปตั้งโรงงานเพื่อเป็นฐานกำลังการผลิตให้กับบริษัทมากขึ้น
"โอกาสที่เราจะเข้าไปทำธุรกิจในเวียดนามยังมีอีกเยอะ การเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมากและแนวโน้มการเติบโตยังถือว่าสร้างความน่าสนใจให้เข้าไปลงทุน"นายประสิทธิ์ กล่าว
สำหรับธุรกิจที่บริษัทจะเข้าไปรุกเพื่อขยายตลาดในเวียดนาม คือ ธุรกิจก๊าซหุงต้ม (LPG) ซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 30-40% ขณะที่เฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตสูงถึง 15-16% และยังน่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยปัจจุบันปริมาณการใช้ก๊าซอยู่ที่ประมาณในเวียดนามปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตันต่อปีและน่าจะเพิ่มเท่าตัวเป็น 2 ล้านตันต่อปีได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ปัจจุบันก๊าซที่ใช้ในประเทศมากกว่า 50% ยังเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ
ปัจจุบันปิคนิคฯ มีส่วนแบ่งการตลาด หรือ มาร์เกตแชร์ เฉพาะในเวียดนามประมาณ 5-6% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ไม่มากทำให้มีโอกาสในการเติบโตค่อนข้างดี โดยบริษัทเตรียมที่จะขยายธุรกิจไปยังภาคกลางและภาคเหนือมากขึ้นเพราะในช่วงเดือนหน้าหลังก๊าซที่เวียดนามน่าจะเสร็จและรองรับการเติบโตในอนาคตได้ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอนาคตให้เป็น 15-20% ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากเพราะปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงกลางเดือนธันวาคมบริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อวางกรอบการผู้บริหารงานและวางนโยบายในบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งในส่วนของธุรกิจในประเทศโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรองรับนโยบายในการปล่อยลอยตัวค่าก๊าซในอนาคตและธุรกิจในต่างประเทศ ประกอบด้วย เวียดนามและสิงคโปร์
ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจในประเทศบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 9% มาเป็น 15% โดยปัญหาของบริษัทเกี่ยวกับการขยายธุรกิจในประเทศคือจำนวนสินค้าของบริษัทมีไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ขณะที่ธุรกิจในเวียดนามปัจจุบันรายได้ยังถือว่าไม่มากโดยเป็นสัดส่วนประมาณ 8-9% ของงบการเงินรวม ขณะที่บริษัทตั้งเป้าภายใน 2 ปีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในเวียดนามจะคิดเป็นประมาณ 25-30% ของงบการเงินรวมซึ่งในอนาคตรายได้จากธุรกิจในเวียดนามจะกลายเป็นธุรกิจหลักของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายให้ในปีหน้าบริษัทย่อยต่างๆที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศต้องถึงจุดคุ้มทุนทั้งหมดเพื่อไม่ให้เป็นปัญหากับบริษัทแม่ แต่ในงบการเงินนักลงทุนอาจจะยังไม่สามารถเห็นผลกำไรได้เนื่องจากยังต้องมีการตัดค่าเสื่อมทางบัญชีเกี่ยวกับสินทรัพย์บางประเภท
"ปีหน้าเราหวังว่าบริษัทต่างๆ ที่เราลงทุนจะสามารถเบรคอีเวนท์ได้ทุกบริษัท แต่อาจจะไม่สามารถทำให้บริษัทกำไรได้เพราะยังมีการต้องตัดค่าเสื่อมของทรัพย์บางประเภทตามมาตรฐานบัญชี" นายประสิทธิ์ กล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|