|
จับตาการเมืองฉุดตลท.ปี50
ผู้จัดการรายวัน(4 ธันวาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
วานนี้ (3 ธ.ค.) มีการจัดสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจ หุ้นไทยปี 50 และกลยุทธ์ลงทุนหุ้น" ในงานวันตลาดนักผู้ลงทุนไทย ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้มีการสำรวจความเห็นในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมีช่วงคะแนนต่ำสุด 0 คะแนน สูงสุด 10 คะแนน ปรากฏว่า "ศุภวุฒิ" ให้ 5 คะแนน "ก้องเกียรติ" ให้ 7 คะแนน "สมชาย" ให้ 4.5-5 คะแนน "มนตรี" ให้ 7 คะแนน
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2550 คาดว่าจะเติบโตสูงกว่าปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวลดลง รวมถึงการที่รัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในการลงทุนโครงการต่างๆ ซึ่ง คาดว่าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตที่ดีในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 5%
สำหรับแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นไทย ยังคงคาดการณ์ได้ยาก ซึ่งปัจจัยหลักที่ต้องจับตาคือปัจจัยทางการเมือง ในเรื่องการคืนอำนาจสู่ประชาชนว่า จะเป็นเงื่อนไขที่ประชาชนยอมรับได้หรือไม่ และเกิดขึ้นเร็วและเรียบร้อยดีหรือไม่ คาดว่าในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม จะมีการประกาศร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบคร่าวๆ ซึ่งคาดว่าในช่วง 2-3 เดือนแรกตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นดี แต่จะมีการคาดการณ์ได้ชัดเจนน่าจะเป็นช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจัยการเมืองชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ หากจะให้คะแนนการลงทุนในหุ้นปีหน้าอยู่ที่ 5 คะแนน โดยฝ่ายวิจัยของบริษัทคาดว่า การเติบโตของกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะเติบโต 1% ซึ่งหากปี2550 ปัจจัยการเมืองมีการผ่านไปได้ด้วยดี คาดว่าปี 2551 บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโตปีละ 15-17% ส่วนปัจจัยที่ตนไม่อยากให้เกิดขึ้นในปีหน้า คือ ความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งสัดส่วนการลงทุนในปีหน้า ตนมองว่า 1ใน 3 ลงทุนในหุ้น 10-15% ลงทุนหุ้นในต่างประเทศ และตราสารต่างๆ อีก 50% ลงทุนในประเทศเช่น ตราสารหนี้ ที่มีความผันผวนต่ำ
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน มี 3 กลุ่ม คือ1. กลุ่มที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศก็ได้มีการเข้าไปซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าวแล้ว 2.หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ไม่ว่าเศรษฐกิจการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหุ้นกลุ่มนี้ก็ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ และผลประกอบการก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มโรงแรม ,ท่องเที่ยว และโรงพยาบาล 3. หุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล เช่น การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์ ) โทรคมนาคม
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า สำหรับปี2550 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการชะลอตัวลงจากการที่ราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับ 60 เหรียญต่อบาร์เรล และคาดว่าปี 2553 กำลังการผลิตน้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นที่สร้างใหม่ และการที่น้ำมันสำรองยังอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกหรือไม่ขึ้นอยู่กับจุดแข่งในเรื่องการส่งออก โดยเชื่อว่าปีหน้า เศรษฐกิจจะเติบโตดี แต่ก็จะมีปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ ที่จะเป็นปัจจัยลบทำให้เศรษฐกิจเติบโตระดับที่ต่ำ
ทั้งนี้ คาดว่าตคลาดหุ้นไทยปีหน้าจะมีลักษณะการแกว่งตัวคล้ายกับปีนี้ ซึ่งปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุนคือ เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเม็ดเงินทั่วโลกมีจำนวนมากที่จะนำไปลงทุน เช่น การลงทุนหุ้น การซื้อที่ดิน การซื้อกิจการ สินค้าโภคภัณฑ์ฯลฯ ซึ่งจากการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ก็จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามามาลงทุนในแถบเอเซีย ส่วนปัจจับลบที่จะเข้ามากระทบคือปัจจัยทางการเมือง โดยปีหน้านักลงทุนจะต้องมีการศึกษาข้อมูลในการเลือกหุ้นลงทุน
สำหรับคะแนนการลงทุนในปีหน้าให้ 7 คะแนน ซึ่งการลงทุนในหุ้นถือว่ายังน่าสนใจอยู่ แต่ต้องรู้จักหวะที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน คือ หุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ส่วนหุ้นขนาดกลางเช่น โรงแรม โรงพยาบาล โดยตัวมองว่าควรลงทุนในหุ้น 1 ใน 3 30% ลงทุนในกองทุน ที่เหลือลงทุนในพันธบัตรตราสารหนี้ ซึ่งปัจจัยที่ตนไม่อยากให้เกิดในปีหน้า คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจัยเศรษฐกิจปีหน้าของไทยจะเติบโตดีจากปัจจัยกระตุ้นภายในประเทศเป็นหลัก จากอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันลดลง รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ก็อาจได้รับผลประทบจากปัจจัยทางการเมือง ที่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงอยู่ จากคลื่นใต้น้ำ
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นปีหน้าจะมีการผันผวนสูง หากปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะขึ้นแรง หากปรับตัวลดลงก็จะแรง ซึ่งปัจจัยบวกที่จะกระตุ้นคือเม็ดเงินต่างประเทศจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว ส่วนปัจจัยที่จะทำให้หุ้นปรับตัวแรง คือการเมืองจากที่ยังมีคลื่นใต้น้ำ ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลจะมีการจัดการอย่างไร โดยตนให้คะแนนการลงทุนในหุ้นปีหน้าอยู่ที่ 4.5-5% โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุน โรงพยาบาล กลุ่มก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า และควรลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ส่วนปัจจัยที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น คือ การก่อการร้ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST กล่าวว่า จากการที่ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลดีทำให้เศรษฐกิจเติบโตดี และตลาดหุ้นก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หากปัจจัยทางการเมืองมีการดำเนินการส่งมอบอำนาจสู่ประชาชนอย่างเรียบร้อย มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีหน้า
" เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 780 จุด และสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 850 จุด ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนมากกว่าตลาดหุ้นในแถบนี้ เพราะราคาหุ้นถูก ซึ่งบริษัทได้มีการคาดกำไรบจ.ปีหน้าเติบโต 0.84% แต่ก็อาจมีการปรับเพิ่มขึ้น โดยจะต้องมีการจับตาในเรื่องปัจจัยทางการเมือง ว่าจะมีการดำเนินการไปตามขั้นตอนที่วางไว้เรียบร้อยหรือไม่ ซึ่งตนให้คะแนนการลงทุนในหุ้น 7 คะแนน โดยปัจจัยทีไม่อยากให้เกิดขึ้นในปีหน้า คือ สงครามระหว่างประเทศ การปฏิวัติซ้อน"
สำหรับหุ้นที่สนใจเข้าไปลงทุน คือ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากเศรษฐกิจเติบโตดีทำให้มีการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ขนส่งทางเรือ สิ่งพิมพ์ ก่อสร้าง ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรที่จะมีการลงทุนในหุ้น 50-60% ลงทุนประกัน 40%
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|