ศรีทองฯผุดแผนกล่าแบรนด์ใหม่ เติมเต็มฐานตลาดดันสู่แชร์รวม18%


ผู้จัดการรายวัน(4 ธันวาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ศรีทองฯผุดแผนกใหม่ เพื่อทำหน้าที่ติดต่อนาฬิกาแบรนด์อินเตอร์เข้ามาทำตลาดในไทย หวังขยายฐานครอบคลุมสู่ไฮเอนด์และแมสมากขึ้น จากเดิมที่จับตลาดมีเดียมจนแข็งแกร่งแล้ว เผยนำเข้ามาใหม่ 5 แบนด์แล้ว โฟกัส 3 แบรนด์หลักก่อนคือ “Formex – Chronotech - Aquanautic” ลั่นปีหน้าแผนกใหม่นี้ทำยอดขาย 60 ล้านบาท เป็นอีกแรงผลักดันให้ศรีทองฯขยับแชร์เป็น 18% จากตลาดรวม

นายองอาจ มหาดำรงค์กุล ผู้บริหารระดับสูง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีทองพาณิชย์ เปิดเผยว่า ทางศรีทองพาณิชย์ฯได้ตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้มีชื่อว่า แผนกสินค้าใหม่ (New Product Department) โดยมีตนเองเป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณาคัดเลือกนาฬิกาแบรนด์ใหม่ๆจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย แผนกใหม่จะทำให้ศรีทองพาณิชย์สามารถขยายฐานทางธุรกิจได้กว้างขึ้น จากเดิมที่มีฐานตลาดในระดับกลางเป็นหลักและเป็นแบรนด์ที่มีมานานเช่น มิโด ราโด ซิตีเซ็น แฮมิลตัน บอล โดยจะขยายสู่ระดับไฮเอนด์และระดับแมสมากขึ้น

ล่าสุดศรีทองฯได้นำเข้านาฬิกาใหม่มาแล้ว 5 แบรนด์ ภายใต้การทำงานของแผนกนี้ ซึ่งเป็นการทดลองทำตลาดเมื่อช่วงไตรมาสที่สี่ปีนี้เอง คือ ฟอร์เม็กซ์ “Formex” จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์, โครโนเทค “Chronotech” จากประเทศอิตาลี, อะควอนอติก “Aquanautic” จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์, “Sothis” จากประเทศเยอรมัน และ “Chiasso” จากประเทศอิตาลี โดยจะเน้นการทำตลาด 3 แบรนด์แรกก่อนซึ่งเป็นแบรนด์ที่เจาะตลาดไฮเอนด์ และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน แบงกอกเวิลด์วอทช์ ครั้งที่ 6 ที่เดอะมอลล์บางกะปิ ส่วนอีก 2 แบรนด์หลังนั้นอยู่ในช่วงของการทดลองเท่านั้น ซึ่งจะเน้นตลาดแนวแฟชั่น

ทั้งนี้ 3 แบรนด์ดังกล่าว คือ ฟอร์เม็กซ์ เป็นนาฬิกาแนวสปอร์ต เจาะกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยทำงานระดับราคาตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท, แบรนด์โครโนเทค เป็นนาฬิกาแนวแฟชั่นพรีเมียม เน้นแนวสีสัน จับกลุ่มวัยรุ่นชายหญิง วัยทำงาน ราคาตั้งแต่ 5,000 – 30,000 บาท ซึ่งแบรนด์นี้มียอดขายปีที่แล้วเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีแรก 600,000 ยูโร เป็น 60 ล้านยูโร ในปีที่สองแบรนด์อะควอนอติก เป็นนาฬิกาแนวสปอร์ตกับความหรูหรา จับกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน นักสะสม อายุประมาณ 18-40 ปี ราคาตั้งแต่ 60,000 – 300,000 บาท

สำหรับช่องทางการจำหน่ายหลักๆของศรีทองฯนั้นมี 3 ช่องทางคือ 1.ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ เช่นเดอะมอล์ สยามพารากอน เอ็มโพเรียม 2.รีเทลชอปเชน ร้านศรีทองพาณิชย์ โชว์รูม และร้านเดอะสวิสวอทช์แกลลอรี่ 3.ดีลเลอร์ทั่วประเทศกว่า 500 ราย โดยที่ 3 แบรนด์ใหม่นี้ก็ได้เข้าช่องทางดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ในอนาคตคาดว่าจะมีการขยายเข้าสู่ห้างในกลุ่มเซ็นทรัลด้วย ซึ่งปัจจุบันเริ่มแล้วที่ห้างเซน

ส่วนแผนการตลาดในการผลักดันทั้ง 3 แบรนด์ใหม่นี้ บริษัทฯตั้งงบประมาณไว้ที่ 25 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดอย่างครบวงจร ทั้งทางด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่างๆเช่น นิตยสารแฟชั่น นาฬิกา รวมป้ายบิลบอร์ด นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในทุกรูปแบบ ซึ่งช่วงแรกจะเน้นการสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายก่อน

จากแผนการตลาดและแผนขยายช่องทางจำหน่าย ศรีทองฯคาดว่าจะสามารถผลักดันทั้งสามแบรนด์นี้เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น และในปีหน้าคาดว่าสร้างรายได้ประมาณ 60 ล้านบาท (แยกเป็นแบรนด์ละ 20 ล้านบาท) โดยที่คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 10% จากยอดรายได้รวมของศรีทองพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้ศรีทองพาณิชย์มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นจากเดิมที่เติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งมาจากแบรนด์ มิโด ราโด และซิติเซ็น เป็นหลัก ขณะที่ศรีทองพาณิชย์มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 15% จากตลาดรวมนาฬิกาทั้งหมดนั้นคาดว่า จะมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท และในปีหน้าตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 18% โดยส่วนหนึ่งมาจากยอดรายได้ของ 3 แบรนด์ใหม่นี้ด้วย

นายองอาจยังให้ความเห็นถึงสภาพตลาดนาฬิกาในช่วงนี้ด้วยว่า ขณะนี้จากการเก็บข้อมูลพบว่า ผู้บริโภคหันมาซื้อนาฬิกาด้วยเงินผ่อนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ประมาณ 60% ส่วนอีก 40% เป็นการซื้อด้วยเงินสด ทั้งจากการที่ห้างสรรพสินค้าจัดเองและที่ดีลเลอร์ทำด้วย เนื่องมาจากว่า ภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควรนัก ซึ่งทางผู้ค้าเองก็หันมาใช้กลยุทธ์นี้เพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ผ่อนนาน 3 เดือน 6 เดือน ดอกเบี้ย 0% ซึงในส่วนของศรีทองเองก็เพิ่งเริ่มทำเหมือนกันกับ 3 แบรนด์ใหม่นี้ร่วมกับสถาบันการเงินหลายแห่ง แต่คาดว่าในปีหน้าตลาดนาฬิกาโดยรวมคงจะดีขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้นเช่นกัน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.