|
ธุรกิจลูกหลานนักการเมือง ในสถานการณ์เปลี่ยนขั้ว
ผู้จัดการรายสัปดาห์(4 ธันวาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ตรวจสถานภาพล่าสุดลูกนักการเมืองดัง หลังเปิดตัวธุรกิจมากมายในยุคพ่อเรืองอำนาจ วันนี้เหลือรอดสักกี่ราย นับถอยหลัง “ฮาวคัม” สภาพร่อแร่เต็มทน เมื่อตัวเลขขาดทุนเพิ่มขึ้นทุกวัน ส่วนลูกตระกูล “เทียนทอง-ตรีทอง” หวังสลัดภาพการเมือง ท้าพิสูจน์ผลงานเจ๋งเพราะ “ฝีมือ” ไม่ใช่ “เส้นพ่อ” ความหวังปั้นธุรกิจให้โตก่อนใส่เกียร์เดินหน้าเข้าสนามการเมืองจะเป็นไปได้หรือไม่ ...ต้องจับตา
อาณาจักรฮาวคัม ปูทางการเมือง โอ๊ค วาดฝัน.. สวรรค์ล่ม
“ผมสนใจลงเล่นการเมืองแน่นอน แต่คงไม่ใช่เวลานี้ คุณย่า(นางยินดี ชินวัตร) เคยสอนคุณพ่อผม (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ว่า ถ้าไม่รวยอย่าเพิ่งทำ จะเล่นการเมืองได้เต็มตัวต้องรวยก่อน มีฐานะที่มั่นคงก่อน ผมจึงต้องสบายก่อนแล้วค่อยคิดไปเล่นการเมือง เวลานี้ผมสนุกกับการทำธุรกิจของผมมากกว่าจะไปเป็นคนของประชาชน”
พานทองแท้ ชินวัตร เคยวาดภาพเฉลยเส้นทางชีวิตของตนเอง เมื่อครั้งที่กลุ่มบริษัทฮาวคัม ที่เขาบริหารอยู่ เติบโตสุดขีด ขยายแขนขาออกเป็นบริษัทย่อย 6-7 บริษัท จนเป็นที่สงสัยกันว่า ทายาทของนายกรัฐมนตรีที่สร้างสารพัดปรากฎการณ์ให้กับประเทศ จะไม่ใส่ใจเดินตามเส้นทางการเมืองของบิดาเลยหรือ แต่ในความจริง เขา ยึดแนวคิดในการเดินทางสู่ทำเนียบรัฐบาล จากผู้สอนคนเดียวกันกับผู้เคยสอน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในใจตลอดมา
“โอ๊ค” เริ่มเดินตามรอยเท้าพ่อ โดยเริ่มมองหาธุรกิจจากความสนใจส่วนตัว ที่มีฝีมือทางด้านถ่ายภาพ เคยเป็นช่างภาพรับเชิญให้กับนิตยสารต่างๆ และงานการกุศลหลายงาน ทั้งยังมีผลงานหนังสือรวมภาพถ่ายของตนเอง ชื่อว่า “มุมมอง ความคิด ชีวิตผ่านเลนส์” วางจำหน่ายไปแล้วเมื่อปี 2546 เป็นที่มาของการตั้งบริษัท นิวโอ๊ค จำกัด เพื่อทำธุรกิจถ่ายภาพในปีเดียวกัน โดยเปิดเป็นสตูดิโอถ่ายภาพชื่อ She @ Mood (Shoot At me) ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ได้เพื่อนพ้องน้องพี่ตระกูลมหากิจศิริที่สนิทสนมกันตั้งแต่รุ่นพ่อ เฉลิมชัย และอุษณีย์ มาร่วมถือหุ้น นับเป็นจุดเริ่มต้น
หลังจากนั้น พานทองแท้ และกลุ่มเพื่อนพ้องในวงไฮโซ นันทสิทธิ์ แจ่มสมบูรณ์ ไอยคุปต์ กฤตบุญญาลัย ทัศนาวลัย องอาจอิทธิชัย พี่น้อง เฉลิมชัย-อุษณีย์ มหากิจศิริ รวมถึง พินทองทา และแพทองธาร น้องสาว จึงเริ่มเดินหน้าเปิดบริษัทขยายเข้าสู่ธุรกิจบันเทิง โฆษณา และสื่อสารรวม 8 บริษัท ภายในช่วงปี 2546-2547 ประกอบด้วย ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มาสเตอร์โฟน โอคานิท ฮาวคัมมีเดีย ฮาวคัมเอวี ฮามคัมสตูดิโอ ฮาวคัมไอพี และนิวโอ๊ค ที่เปิดก่อนหน้า
พานทองแท้ ตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี จะยกระดับฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้ นท์ขึ้นเป็นโฮลดิ้ง ดูแลบริษัทที่เหลือเป็นบริษัทในเครือ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เดินตามรูปแบบชิน คอร์เปอเรชั่น บริษัทโฮลดิ้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีเอไอเอส ชินแซท ไอทีวี ฯลฯ เป็นบริษัทในเครือ
โอ๊ค เล่าว่า ถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงประธานบริษัท แต่ในประสบการณ์การทำงานสำหรับตน ก็ถือว่าเพิ่งจะเริ่มต้นชีวิตการทำงานเท่านั้น คงมีอะไรอีกหลายอย่างให้เรียนรู้ต่อไปในอนาคต แต่เชื่อมั่นว่า ถ้าทำวันนี้ให้ดีที่สุด สร้างพื้นฐานและรากฐานให้ดีที่สุด โอกาสที่จะก้าวต่อไปในภายภาคหน้าก็จะมีผลลัพธ์ไปในทางที่ถูกมากกว่าผิดแน่นอน
บทบาทหน้าที่ของประธานบริษัท ที่โอ๊คทำอยู่ “ฮาน่า” ทัศนาวลัย องอาจสิทธิชัย หุ้นส่วนคนสำคัญในฮาวคัม กล่าวว่า จะเน้นดูแลงานด้านนโยบาย โดยจะเข้ามาที่บริษัทเฉพาะในวันที่มีการประชุม และต้องการการตัดสินใจในเรื่องนโยบายที่สำคัญ ส่วนงานด้านอื่นๆ ที่มีผู้ดูแลรับผิดชอบอยู่แล้วก็เป็นหน้าที่ของผู้นั้น
แต่ดูเหมือนโอ๊ค ยังมีบทบาทหน้าที่ที่ไม่ได้ถูกกำหนด แต่ภาพลักษณ์ชื่อเสียง และบารมีของเขา เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดบทบาทนี้เอง นั่นคือ งาน และรายได้ที่เข้าบริษัท
อาณาจักรธุรกิจที่สร้างบนความตั้งใจของ “โอ๊ค” ดูจะยิ่งใหญ่จนทุกคนต้องจับตามอง ฮาวคัม มีเดีย สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการมีเดียทันทีที่เปิดตัว เมื่อเปิดตัวบริษัทพร้อมกับการทำหน้าที่ผู้บริหารสื่อโฆษณาบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่วนใหญ่รวมถึงส่วนสำคัญ ทั้งที่ ไตรแอด เน็ตเวิร์ค ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบีเอ็มซีแอล เจ้าของสัมปทานรถไฟฟ้าใต้ดิน ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาทั้งหมดไปก่อนหน้า แต่ผู้เสียประโยชน์ก็ไม่ได้โวยวายอะไร
และเมื่อเริ่มเปิดให้บริการ ไฮไลต์ของสื่อโฆษณาที่ฮาวคัม มีเดีย นำเสนอ คือ “ฮาวคัม สกรีน” จอพาสมาติดบนประตูรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่ใช้เงินลงทุนถึง 20 ล้านบาท ติดตั้ง 108 จอ เต็ม 18 สถานี พานทองแท้ ชินวัตร กล่าวถึงสื่อรูปแบบใหม่นี้ว่า ทรงประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเป็นสื่อที่สามารถบังคับให้คนต้องดู เนื่องจากการติดอยู่บริเวณชานชะลา ที่ผู้ใช้บริการทุกคนต้องยืนรอบริเวณนั้น จึงมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากเอเยนซี่โฆษณา และเจ้าของสินค้า
แต่ดูเหมือนผลตอบรับกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ฮาวคัม สกรีน ถูกสร้างความสนใจโดยการดึงคอนเท้นท์ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ที่เหมือนเป็นความช่วยเหลือกันระหว่างบริษัทของพ่อที่มีต่อบริษัทของลูก แต่ปัญหาของสื่อใหม่ ที่ไม่มีความชัดเจน เพราะไปติดตั้งอยู่ในบริเวณเข้า-ออก ที่ต้องเน้นแสงสว่างเพื่อความปลอดภัย ประกอบกับการตั้งราคาลงโฆษณาที่เหล่าเอเยนซี่เห็นว่าสูงเกินกว่าศักยภาพ ทำให้นับตั้งแต่เปิดให้บริการมา มีเพียงโฆษณาจากเอไอเอส วันทูคอล รวมไปถึงสินค้าจากบริษัทญี่ปุ่น อาทิ กูลิโกะ พานาโซนิค โตโยต้า อันเป็นสินค้าที่เชื่อมโยงกับตระกูลชินวัตร และตระกูลแจ่มสมบูรณ์ ผู้บริหารเอเยนซี่โฆษณายักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น เดนท์สุ
ฝีมือของคนหนุ่มที่นำโดยพานทองแท้ ชินวัตร และนันทสิทธิ์ แจ่มสมบูรณ์ จึงดูเหมือนเป็นเพียงการใช้คอนเนคชั่นหาลูกค้าล้วน ๆ
ด้านฮาวคัม เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ที่ดำเนินธุรกิจหลักด้านการผลิตรายการโทรทัศน์ก็คงไม่ต่างกัน แม้จะมีความพยายามหลาย ๆ ต่อหลายครั้ง ในการนำรายการโทรทัศน์ทั้งที่ซื้อรายการเข้ามา หรือซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตเอง ไปเสนอต่อสถานีโทรทัศน์ช่องที่ได้รับความนิยม อย่าง ช่อง 7 สี แต่สุดท้าย ทุกรายการของฮาวคัม ก็ต้องกลับมาออกอากาศที่ไอทีวี ภายใต้บารมีโอ๊คเช่นเดิม
ความล้มเหลวจากการเปิดสวนสนุก The Amazing Fun Park บนถนนรัชดาภิเษก ที่ต้องการประชันกับความยิ่งใหญ่ของสวนสนุกจากแมทชิ่ง ริมทะเลสาบเมืองทองธานี เมื่อปลายปี 2547 เป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่พานทองแท้ต้องจดจำ ประสบการณ์ของผู้บริหารที่ยังน้อยนิด แต่คิดขึ้นเวทีวัดฝีมือกับคู่ต่อสู้ยักษ์ใหญ่ ทำให้ฮาวคัม เอวี มีตัวเลขขาดทุนจนถึงปี 2548 กว่า 22 ล้านบาท
จนกลายเป็นบริษัทแรกของกลุ่มฮาวคัม ที่ปิดตัวลงเรียบร้อย ตามคำยืนยันของ นันทสิทธิ์ แจ่มสมบูรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นอกเหนือจากร้านถ่ายรูป She@mood และร้านกาแฟคาเฟ่อินน์ สยามสแควร์ซอย 2 ที่ปิดให้บริการไปก่อนหน้า
และเมื่อทิศทางการเมืองเปลี่ยน ให้ขั้วอำนาจเดิมต้องหลุดวงโคจรไป แต่ดูเหมือนธุรกิจที่พยายามบอกต่อสังคมว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง กลับซวนเซตามไปด้วย
ฮาวคัม มีเดีย และ ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ที่เคยพึ่งพิงรายได้จากการโฆษณา โดยมีฐานใหญ่เป็นโฆษณาจากกลุ่มบริษัทชินวัตร ถูกลดงบประมาณลงนับตั้งแต่กลุ่มเทมาเส็คเข้าถือหุ้น จนเหลือเป็นรายได้ให้ฮาวคัมเพียง 10% เช่นเดียวกับลูกค้าญี่ปุ่นจากเดนท์สุ ก็เริ่มหดหายไปจากจอพาสม่าในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่มีอยู่ก็เป็นการลงโฆษณาตามสัญญาที่เซ็นไว้ล่วงหน้า
รายการโทรทัศน์ที่เป็นหัวหอกสำคัญในการสร้างรายได้ ที่ต้นปีเคยมีรายการออกอากาศอยู่มากถึง 7 รายการ วันนี้เหลือเพียง 2 รายการ บางกอกรามา และ ปลาเก๋าราดพริก ทางไอทีวี
แผนงานในการผลิตภาพยนตร์ระดับอินเตอร์ร่วมกับผู้ผลิตชาวฮ่องกง เพื่อป้อนตลาดทั่วโลก ปีละ 5 เรื่อง รวมถึงแผนการจัดการแสดงคอนเสิร์ตศิลปินชั้นนำ วิทนีย์ ฮูสตัน บียองเช่ ก็ถูกพับเก็บไปเรียบร้อย
รายได้ที่ตั้งเป้าไว้เมื่อต้นปี 2549 ที่จะเติบโตให้ได้ถึง 50% จากบิลลิ่ง 90 ล้านบาทที่เคยทำได้ในปี 2548 ก็คงไม่เป็นไปตามเป้า
วันนี้ แม้อาณาจักรธุรกิจของพานทองแท้ ชินวัตร จะยังคงอยู่ กลุ่มผู้บริหารฮาวคัมยังคงเดินหน้าทำธุรกิจ โดยมองวิกฤติจากผลกระทบที่เกิดจากปัญหาทางการเมือง ให้เป็นโอกาส สร้างการเติบโตให้กับฮาวคัมจากวันนี้ ให้ปราศจากคำครหาติติงว่าเป็นผลประโยชน์ที่เอื้อมาจากเวทีการเมือง โดยมีกำลังใจก้อนโต จากหมอดูจอมฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ สับธงลงว่า 2 ปีจากนี้ จะดีขึ้นแน่นอน
แต่เส้นทางของโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ที่ตั้งใจจะสร้างความร่ำรวยจากการอาณาจักรธุรกิจฮาวคัม ปูเส้นทางสู่ตำแหน่งทางการเมืองให้เหมือน ทักษิณ ชินวัตร
หมอลักษณ์ จะฟันธงให้โอ๊ค หรือ ให้โอ๊คเก็บธง
“สุรเกีรติ” ขอผงาดในวงธุรกิจ เหลือ ทายาทเทียนทอง ปลอดการเมือง ไว้คน
ทายาทนักการเมืองชื่อดังคับฟ้าเมืองไทยอีกราย ที่สร้างชื่อเสียงได้กระหึ่มทุกวงการไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ ‘สุรเกียรติ เทียนทอง’ ลูกชายคนที่ 3 ของนายเสนาะ เทียนทอง ที่กระโจนโดดเข้ามาทำธุรกิจมีเดียอย่างเต็มตัว พร้อม ๆ กับข่าวลือที่ว่า ‘พึ่งบารมีพ่อ’ เสริมทัพธุรกิจ ล่าสุด สุรเกียรติ เดินตามรอยโมเดลสูตรสำเร็จการทำธุรกิจ ด้วยการ ‘โตแล้วแตก’ ปั้น ‘ไปยาลใหญ่ ’ ลุยธุรกิจอีเว้นท์ พร้อมปิดปากสนิทถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สุรเกียรติ เทียนทอง หนุ่มไฟแรงวัย 27 ปี หอบหิ้วปริญญาใบโต 2 ใบ ทั้งระดับตรีและโท สาขาผู้นำองค์กรและการตลาด มหาวิทยาลัยจอห์นสัน แอนด์ วาเลส กลับมาสมัครเป็นพนักงานบริษัทในเครือซีพี ดูแลการส่งออก 1 ปี จึงออกมาร่วมกับเพื่อนพ้องรับเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ให้กับโตโยต้า ภายใต้ชื่อบริษัท โตโยต้าพารากอน จำกัด ย่านรังสิต ก่อนจะผันตัวเองก้าวเข้าสู่ถนนสายงานมีเดีย
ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมากับในธุรกิจมีเดีย สุรเกียรติ ยอมรับว่า ตัวเองประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นสูงสุดและพอใจกับการทำงานที่ผ่านมาด้วย แม้ธุรกิจโฆษณาที่ตนทำอยู่นั้นจะได้รับผลกระทบจากการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ จนต้องเกิดภาวะชะงักงันทางธุรกิจไปบ้าง แต่ยังมั่นใจว่าจะพอประคองตัวไปได้ต่อ
เพื่อสยายปีกให้ครอบคลุมธุรกิจสื่อและเสริมทัพให้กับธุรกิจตัวเอง ล่าสุด สุรเกียรติ ผุด ‘ไปยาลใหญ่ (ฯลฯ)’บริษัทใหม่เพื่อรองรับตลาดออการ์ไนซ์ที่กำลังบูมขยายตัวไปในทิศทางที่ดี ผนวกกับความมั่นใจที่ว่าทางบริษัทสามารถหาทีมงานที่มีฝีมือและเป็นมืออาชพีมาร่วมงานได้ ส่วนในเรื่องธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์นั้นยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผน แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะดำเนินการเป็นรูปแบบไหน
ที่ผ่านมาสุรเกียรติ ยอมรับว่า จากภาพที่เป็นทายาทนักการเมืองชื่อดัง ทำให้หลายคนมองว่าอาศัยบารีมพ่อช่วยทำธุรกิจ ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา สุรเกียรติพยายามทำให้คนรู้จักเขาที่ ‘ฝีมือ’ มากกว่า ‘นามสกุล’
ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ บริษัท เค เอ เค อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด ที่ดำเนินการเกี่ยวกับสื่อโฆษณาเป็นหลัก ภายใต้การบริหารงานของนายสุรเกียรติ เทียนทอง ในฐานะกรรมการผู้จัดการของบริษัท ต้องถูกนักข่าวและนักธุรกิจในกลุ่มมีเดียด้วยกันกล่าวขานและจับตามองมากที่สุด เพราะเค เอ เค ฯ รับสัมปทานขายโฆษณาบนตั๋วรถไฟประมาณ 50% จากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นเวลา 3 ปีตั้งปี 2547 ที่ผ่านมา
จากพื้นเพของบริษัท เคเอ เค ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แทบจะไม่มีเคยมีพื้นฐานการทำธุรกิจสื่อมาก่อน แต่สามารถประมูลสัมปทานพื้นที่โฆษณาบนตั๋วรถไฟได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เบนเข็มมาสู่ธุรกิจสื่อโฆษณา จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีข่าวลือเรื่องบารมีพ่อมาเกี่ยวด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สุรเกียรติ ออกโรงมาแถลงข้อเท็จจริงว่า “การทำธุรกิจสื่อโฆษณาบนซองและตั๋วรถไฟไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน และอยากให้มองที่ผลงานที่เกิดจากความตั้งใจจริงมากกว่าเป็นประเด็นการเป็นลูกนักการเมือง อย่างไรก็ตามบางครั้งอาจจะต้องปรึกษาคุณพ่อบ้าง แต่สุดท้ายก็อยู่ที่การตัดสินใจด้วยตัวเอง”
ไม่เพียงแค่บริษัทน้องใหม่ อย่าง ‘ไปรยาลใหญ่’และ ‘บริษัท เค เอ เค อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย กรุ๊ป จำกัด’ ที่ตระกูลเทียนทองได้เข้าไปถือให้ใหญ่เท่านั้น แต่สุรเกียรติยังมีบริษัทสื่ออีกแห่งคือ ‘บริษัท เฟรช มีเดีย จำกัด’ เพื่อทำสื่อโฆษณารูปแบบพลาสม่าทีวี ตามสถานที่ต่าง ๆ และทันทีที่ก้าวสู่ศักราชใหม่ในปี 2550 สุรเกียรติมั่นใจที่จะดันให้ธุรกิจมีเดีย ,ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจออกาไนเซอร์ที่จะคลอดในต้นปีหน้าประสบความสำเร็จภายใต้การบริหารงานของเขา เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่า ‘ฝีมือ’ เจ๋งกว่า ‘เส้น’
แม้บทบาทใหม่ของสุรเกียรติจะเป็นมาดนักธุรกิจหนุ่มเท่ห์ ที่คว้าใบปริญญามาจากต่างประเทศ แต่พ่อแม่และคนรอบข้างล้วนเล่นการเมืองทั้งสิ้น ดังนั้นคำถามที่ตามมาคือ ในอนาคตจะเดินตามรอยเท้าคนในครอบครัวทั้งพ่อแม่และพี่ชายเข้าสู่ถนนเส้นทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งต่อเรื่องนี้ สุรเกียรติ ประกาศชัดอย่างชัดเจนว่า ‘ผมรักงานด้านการตลาด และจะดำเนินธุรกิจนี้สืบต่อไปเพราะผมมีความตั้งใจที่จะโอบอุ้มธุรกิจนี้ด้วยความสามารถของเขาเอง และคงไม่คิดที่จะกระโดดเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างแน่นอน เพราะอยากให้ตระกูล ‘เทียนทอง’ เหลือผมเป็นนักธุรกิจเต็มตัวสักคน’ ถือเป็นเป้าหมายชีวิตที่ต่างไปจากการให้สัมภาษณ์ของสุรเกียรติก่อนหน้าว่า
“การเมืองผมมองว่าถึงเวลามันเข้ามาเอง การเมืองสมัยใหม่ถ้าจะเข้า ถ้าในมุมมองผม ผมอยากทำให้สังคมยอมรับ ที่ไม่ใช่ว่าเป็นลูก เสนาะ เทียนทอง แต่ต้องยอมรับว่าเป็นสุรเกียรติ เทียนทอง เป็นตัวของตัวเองให้ได้ก่อน เมื่อถึงเวลา ถ้ามีโอกาส ก็คงเข้าไปในส่วนของการเมือง
การเมืองเข้าได้หลายทาง จะเข้าทางที่เป็นท้องถิ่นก่อน แล้วค่อย ๆ โตขึ้นไป หรือจะเดินเส้นทางธุรกิจก่อน แล้วเข้าไปตอนช่วงเวลาที่ตัวเองพร้อมที่สุด ผมยังมองส่วนที่สอง ผมจะเข้าไปในช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเองพร้อมที่สุด พร้อมในแง่ สังคมยอมรับว่าเราเก่งจริง มีความสามารถ เป็นคนดี แค่นั้นมากกว่า ส่วนจะเป็นเวลานานเท่าไหร่คงไม่สามารถกำหนดได้ เพราะการเมืองไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเข้าไป เร็วสุดอายุ 35-40 ที่จะเข้าไปก็ไม่ใช่”
ความยาก-ง่ายของธุรกิจอยู่ในตัวมันเอง “ลูกนักการเมือง” ไม่เอื้อประโยชน์ธุรกิจ
แม้นักธุรกิจสาว วัย 27 ปี สิริน ตรีทองจะมีคุณสมบัติข้อหนึ่ง คือการเป็นลูกนักการเมือง แต่เธอก็ยืนยันว่า ไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่เธอดูแลอยู่ง่ายหรือยากขึ้นกว่าเดิม
“ความยากง่ายของธุรกิจอยู่ในตัวของมันเอง เฟอร์นิเจอร์เป็นธุรกิจของครอบครัว เราไม่ได้สร้างเอง แต่เป็นการสานต่อ พลอยเป็นคนดูว่าถึงจุดไหนควรปรับเปลี่ยน ในลักษณะใด เพราะฉะนั้นเชื่อว่าสถานะทางสังคมของคุณพ่อ คงไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ เพราะงานที่ทำตรงนี้ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานะทางสังคมของพ่อ ลูกค้าไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร ยิ่งลูกค้าต่างประเทศแล้วเขาไม่สนใจ เขาสนใจโปรดักส์เราว่าเป็นยังไง สนใจกำลังการผลิตว่าได้ตามที่เขาต้องการ โรงงานมีคุณภาพจริงหรือไม่ และแม้ว่าคนไทยสนใจบ้าง แต่คือท้ายสุด เขาจะเลือกสินค้าเราหรือไม่ ก็เป็นความพอใจของเขา อาจมีลูกค้าบางคนเดินมาดูโชว์รูม เพราะอาจเห็นว่าร้านลงข่าว แต่สุดท้ายลูกค้าต้องตัดสินใจเอง”
สำหรับความเป็นทายาทนักการเมืองแล้ว สิรินบอกว่าให้ความสนใจการเมืองเหมือนกับคนทั่วไปเท่านั้น อ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าวสารข้อมูล ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ มีหนังสือที่เธออ่านประจำ เช่น มติชนสุดสัปดาห์ และนิตยสารเกี่ยวกับตกแต่งบ้าน ที่จะเป็นข้อมูลในการทำธุรกิจของเธอ แต่เมื่อถามถึงความสนใจที่จะกระโดดขึ้นมาสู่เวทีการเมือง สิริน กล่าวว่า
“รู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีความสามารถด้านการเมือง คิดว่าคงไม่มีความสามารถด้านนี้ มองว่าเป็นอะไรที่ต้องรับผิดชอบเยอะ ไม่ใช่อย่างที่พลอยทำงานาที่นี่ ดูแลคนงานของเรา พนักงานของเรา แต่งานการเมือง เหมือนกับว่าดูแลนโยบาย ดูแลคนทั้งประเทศ ถ้าทำตรงนั้นได้ไม่ดีขนาดนั้นก็อย่าไปยุ่งดีกว่า เป็นประชาชนทั่วไปธรรมดาดีกว่า หากมองเรื่องความท้าทาย มันมีผลกระทบต่อคนเยอะมาก เราไม่ทำตรงนั้นดีกว่า เพราะไม่ใช่เป็นความท้าทายเกี่ยวกับอนาคตของตัวเราเองคนเดียว ถ้าเป็นอนาคตเราเอง เราพลาดเราก็เริ่มใหม่ได้ แต่ถ้ากระทบต่อคนโดยมาก ถ้าเราตัดสินใจผิด ผลกระทบกว้างมาก”
ส่วนอนาคตจะเห็น สิรินลงเล่นการเมืองหรือไม่นั้น เธอบอกว่า ”ต้องสมมติก่อนว่าคุณพ่อชวน เพราะจริงๆ คุณพ่อไม่เคยชวน”
ความจริงก่อนที่ สิริน จะมาบริหารธุรกิจให้ครอบครัวเองนั้น เธอผ่านการศึกษาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอาชีพที่ทำอยู่เลย ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโอกาสไปฝึกงานกับยักษ์ใหญ่ของโลกในธุรกิจวิศวกรรม บริษัทซีเมนส์ ประเทศเยอรมนี ก่อนข้ามทะเลไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านการบริหารจัดการวิศวกรรม ที่ USCA สหรัฐอเมริกา
เมื่อถึงเวลาต้องออกมาทำงาน เธอกลับเลือกที่จะเดินตามรอยบิดา แต่เป็นเส้นทางทางธุรกิจ มิใช่เส้นทางการเมือง
“กลับจากอเมริกา ก็มาทำที่นี่เลย ตอนอยู่อเมริกา บางทีกลับมาก็เริ่มเข้ามาดูบ้างนิดหน่อย แต่ยังไม่เต็มตัว เพราะไม่อยากอ้อมไปไกล มาเริ่มทำเลยดีกว่า ตอนแรกก็คิดว่าเราไปเป็นลูกจ้างที่อื่นก่อนดีมั้ย ไปหาประสบการณ์ แต่ทีนี้ลองมาคิดว่า ถ้าพลอยเริ่มทำที่นี่ ก็ต้องเริ่มเรียนรู้งานเหมือนกัน เราไม่สามารถบริหารได้เลย ถ้าเราไม่รู้ว่าที่นี่ทำอะไรบ้างก็เลยคิดว่าให้เป็นประโยชน์กับครอบครัว ทั้งตัวเอง ก็มาเริ่มงานที่นี่เลยดีกว่า ตอนแรกก็ต้องยอมรับว่าต้องมีล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่ก็โอเค คิดว่าไม่เป็นไร” สิริน เล่าถึงเมื่อครั้งตัดสินใจสานต่อธุรกิจที่บุญชู บิดาเคยวางรากฐานไว้
สิรินเข้ามา ปรับทิศทางให้กับธุรกิจครอบครัว ”ตรีทอง” แม้ยังคงพื้นฐานเดิมคือการผลิตไม้สักทองแปรรูป สร้างสรรค์เป็นเฟอร์นิเจอร์ตามคำสั่งของตัวแทนจำหน่าย (OEM) ที่ทำจากไม้สักทองที่นำเข้าจากประเทศพม่า แต่สิ่งที่เพิ่มเติม คือ สิรินขยายคือการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง PLATO พร้อมกับรุกออกสู่ตลาดต่างประเทศ
“ช่วงแรกครอบครัวพลอยขายไม้แปรรูป ที่นี้ไม้ที่มีเราเห็นก็รู้สึกว่าอยากทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากกว่านี้ ไม้สักนับวันยิ่งน้อยลง ไม้ก็สวย มีคุณสมบัติที่ดีอะไรทุกอย่าง เราก็เลยคิดว่าเรามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ตอนแรกก็ทำในลักษณะ OEM คือ ลูกค้าให้แบบมา เราก็ผลิตให้เขา เราเป็นผู้ผลิตอย่างเดียว ไม่มีดีไซน์ของตัวเอง จนพลอยกลับมาจากต่างประเทศ ประมาณ 2 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ กิจการถูกพักไปช่วงหนึ่ง เมื่อพ่อลงเล่นการเมือง กลับมาอีกทีตลาดก็เปลี่ยน เพราะได้รับอิทธิพลจากจีน เวียดนาม จีนเปิดเสรีการค้า ซึ่งมีข้อได้เปรียบเรื่องค่าแรงเขาต่ำ เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ เราจึง ผันตัวเองจากการเป็นผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว หันมามุ่งเรื่องการออกแบบ และสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง ”
แต่กว่าผลงานของเธอจะออกมาให้เห็น ต้องใช้เวลากว่า 1 ปีทั้งการติดต่อประสานงานหาคนออกแบบ การสร้างเฟอร์นิเจอร์ต้นแบบ และการผลิต แนะนำลงสู่ตลาด จนเห็นเป็น PLATO ที่ยืนอยู่ในตลาดเฟอร์นิเจอร์
สิริน ใช้ทักษะการบริหารจัดการ และการออกแบบที่เธอค่อนข้างคุ้นเคย และความชอบส่วนตัวในงานออกแบบ รวมถึงความช่วยเหลือจากเพื่อนพ้อง สร้างแบรนด์ PLATO ให้เกิดขึ้น นอกจากนั้นเธอยังสามารถวางตำแหน่งทางการตลาดของ PLATO ไว้อย่างชัดเจนว่า จะเล็งไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นลูกค้าระดับไฮเอนด์ จุดนี้ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าออกมาราคาถูก มุ่งให้ PLATO ได้รับดีไซน์ที่ดีที่สุด และผลิตจากวัตถุดิบที่ดีที่สุด เหมือนกับว่าเราเป็นลูกค้าเอง และเราหวังอะไรจากสินค้าตัวนั้นบ้าง
สิรินนำประสบการณ์จากการศึกษา และใช้ชีวิตอยู่ในยุโรป สหรัฐอเมริกา มาสร้างรูปแบบเฟอร์นิเจอร์ PLATO นำเสนอให้เห็นความเป็นไม้สักทองอย่างแท้จริง ให้เห็นตาของไม้ และลายไม้ และรูปลักษณ์เป็นแบบ Contemporary ผสมผสาน ร่วมสมัย ต่างจากผลผลิตจากเอเชียส่วนใหญ่ที่เน้นให้เห็นถึงความเป็นตะวันออก ซึ่ง ”พลอย” มองว่าเริ่มอยู่ในจุดลูกค้าต่างชาติคุ้นเคยหมดแล้ว
การพยายามวางตลาดในจุดที่แตกต่าง ”พลอย” บอกว่านอกจากดูสไตล์การทำงานจากที่ได้ฝึกงานที่บริษัทซีเมนส์ ในสูตรของความจริงจังและมีระบบในการทำงานแล้ว เธอยังต้องศึกษาตลาดด้วยตัวเอง ทั้งการเดินดูตลาด ดูนิทรรศการเฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงเฝ้าบูธออกงานด้วยตัวเอง เพื่อพบปะ พูดคุยกับลูกค้า เพื่อให้ได้ข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของตลาด
วันนี้ PLATO มีโชว์รูมขายแห่งแรก ตั้งอยู่บนสยามพารากอน อาณาจักรศูนย์การค้าที่หรูที่สุดในประเทศไทย แสดงถึงความพยายามในการยกระดับภาพพจน์สินค้าให้ขึ้นไปอยู่ในตลาดระดับบนได้เป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่ง
แต่สิริน ก็ยังมองว่า การสร้างจะแบรนด์ PLATO ให้ติดตลาด คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี
ยืนยันการธุรกิจแบบมืออาชีพของสิริน ตรีทอง ที่ไม่มีเส้นสายทางการเมืองที่ติดตัวบิดา บุญชู ตรีทอง มาช่วยเอื้อประโยชน์ เป็นแบบอย่างให้ทายาทนักการเมืองรุ่นหลังเดินตาม
**************
พานทองแท้ ชินวัตร
เกิด : 2 ธันวาคม 1979
การศึกษา : มัธยมปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ประวัติการทำงาน
- สตูดิโอชื่อ She @ Mood
- ร้านกาแฟ Cafeinn
- บริษัท How Come Entertainment จำกัด
- บริษัท มาสเตอร์โฟน จำกัด
ครอบครัว : บุตรชายของ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ดอกเตอร์ ทักษิณ ชินวัตร และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร มีน้องสาวอีก 2 คน คือ พินทองทา และ แพทองธาร ชินวัตร
************
สุรเกียรติ เทียนทอง
เกิด 14 กันยายน 2520
การศึกษา :
- มัธยมต้น - สาธิตปทุมวัน
- มัธยมปลาย - ม.4-ม.5 เตรียมอุดมศึกษา
- ม.6 Oneida Baptist Institue สหรัฐอเมริกา
- ปริญญาตรี-ปริญญาโท Johnson&Wales University สหรัฐอเมริกา
ประสบการณ์การทำงาน
- ตำแหน่ง Senior Trader เครือซีพี
- ฝึกงาน กรมสอบสวนดคีพิเศษ
- ดูแลธุรกิจบิวตี้แอนด์สปา กรมส่งเสริมการส่งออก
ปัจจุบัน
- กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคเอเค อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด
- บริษัทเฟรช มีเดีย จำกัด
**************
สิริน ตรีทอง
การศึกษา :
- วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการงานวิศวกรรม มหาวิทยาลัยเซาท์เทิร์น แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (USCA)
ประวัติการทำงาน :
กรกฎาคม 2543 - มกราคม 2544
- ฝึกงานทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้ากับ Siemens Business Services GmbH.&Co.OHG เมือง Nuremberg ประเทศ Germany
มีนาคม - มิถุนายน 2544
- ฝึกงานในโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ประเทศไทย
กุมภาพันธ์ 2547 - ปัจจุบัน
- กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.พี.เอส.มิลคอม จำกัด กรรมการ บริษัท ศิลาสามยอด จำกัด
2548 - ปัจจุบัน
- กรรมการ บริษัท ห้างฉัตรคอนสตรัคชั่น จำกัด
- กรรมการ บริษัท ห้างฉัตรแรนช์ จำกัด
*************
ฮาวคัม บริษัทบันเทิงไม่จำกัด
19 พ.ย. 2546 พานทองแท้ ชินวัตร เป็นประธานเปิดบริษัท ฮาว คัม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิงครบวงจร ทั้งรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์โฆษณา คอนเสิร์ต ตลาดจนอีเวนต์ และออแกไนเซอร์
บริษัทมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 6 ราย คือ พานทองแท้ 20% ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นันทสิทธิ์ แจ่มสมบูรณ์ 16% ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายโปรดักส์ชั่น ไอยคุปต์ กฤตบุญญาลัย 16% ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด สุศิษฎา ตันเจริญ 16% ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทัศนาวลัย องอาจอิทธิชัย 16% ดำรงตำแหน่งประธานบริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ และพิณทองทา ชินวัตร 16%
สำหรับที่มาของชื่อบริษัท เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า ไม่มีความหมายอะไร แต่เริ่มจากการคุยกันถึงแผนงานต่างๆ แล้วนำไปให้ฝ่ายผลิตดู แล้วฝ่ายผลิตถามว่าคิดได้ยังไง (วะ) จึงเกิดคำว่า “ฮาว คัม” ขึ้น
หลังจากเปิดบริษัทได้ไม่นานฮาวคัมได้เพิ่มทุนจดทะเบียน และแตกบริษัทลูกออกมาอีก 4 บริษัท คือ ฮาวคัมเอวี ดำเนินธุรกิจจัดอีเวนต์ (ปัจจุบันขายหุ้นทั้งหมดออกไปแล้ว) , ฮาวคัมมีเดีย ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน, ฮาวคัมสตูดิโอ ดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์ และฮาวคัมไอพี ดำเนินธุรกิจคอนเทนต์เกี่ยวกับการดูหนังฟังเพลงในโทรศัพท์มือถือ
ในรอบกว่า 3 ปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฮาวคัมประกาศเดินหน้าลุยโครงการต่างๆเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็น การเปิดธุรกิจร้านถ่ายภาพสตูดิโอ SHE @ MOOD, ตั้งบริษัทโอกานิท เพื่อทำธุรกิจอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ร่วมกับตระกูลมหากิจศิริ, เข้ารับงานถ่ายภาพนิ่งประกวดมิสยูนิเวิร์ส, การเข้าไปรับสัมปทานพื้นที่โฆษณาภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน, การจับมือกับประวิทย์ มาลีนนท์ ประธานบีอีซี เวิลด์ นำรายการฮิการุ เซียนโกะ มาออกอากาศทางช่อง 3 ในทุกวันพฤหัส, ตั้งบริษัท มาสเตอร์ โฟน ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือ VERTU ราคาเครื่องละ 1 แสนบาท
การลุยของฮาวคัมไม่หยุดเพียงแค่นี้ ความฝันอันบรรเจิดของ “เสี่ยโอ๊ค” ล่องลอยไปถึงการดึง “เฉินหลง” มาร่วมผลิตภาพยนตร์ร่วมกัน พร้อมเซ็นสัญญากับมีเดีย เอเชีย กรุ๊ป เมื่อราวปลายปี 2547 วางหวังว่าจะผลิตภาพยนตร์ให้ได้ปีละ 5 เรื่อง แต่เอาเข้าจริงๆจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นหนังจากค่ายนี้ลงโรงเลยสักเรื่อง
ทว่า จอมโพรเจคน้อยยังคงเดินโครงการร้อยแปดพันเก้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ที่เรียกเสียงฮือฮามากจากสาธารชนมากหน่อยก็คือโครงการสวนสนุกเคลื่อนที่ย่านรัชดาภิเษก ที่นำเข้าเครื่องเล่นมาจากอังกฤษ และแม้ว่าทางผู้บริหารจะบอกว่าพอมีกำไรอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าคงเข็ดเพราะจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ไม่เห็นวี่แววของสวนสนุกดังกล่าวอีกเลย อย่างไรก็ดี แนวคิดการทำสวนสนุกของฮาวคัมยังไม่ได้มลายหายไปเพราะเมื่อเร็วๆนี้มีออกออกมาว่ากำลังจะไปทำสวนสนุกที่เรียกว่า Theme Park ขึ้นในสวนสนุกไนท์ซาฟารี เชียงใหม่
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ฮาวคัมเข้าไปลงทุน และเข้าไปดำเนินงาน และฉาบฉวยตามประสาลูกคนรวยที่มีเงินนับหมื่นล้านบาท แต่ใครจะไปรู้ว่าในวันที่ไม่มีบารมีพ่อมาช่วยอุ้มชูแล้ว ธุรกิจของฮาวคัม อาจจะมาปรากฏตัวในรูปแบบการทำงานแบบใหม่ที่ชัดเจน และจริงจังมากขึ้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|