"กะเทาะเปลือกค่าจ้าง (ขั้น) ต่ำ: 20 ปีบนความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ"

โดย จิตติมา คุปตานนท์
นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

การชักคะเย่อระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกๆ ปีเสียแล้ว ทำไมต้องเป็นเช่นนั้นทั้งๆ ที่มีคณะกรรมการค่าจ้างมาเป็นเวลานานถึงยี่สิบปีแล้ว

"ได้รับผลกระทบแน่ นักลงทุนหนีไปต่างประเทศหมดแล้ว" นายจ้างต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันทันทีที่ถามว่าการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างขั้นต่ำม่ผลกระทบต่อการลงทุนหรือไม่ พร้อมๆ กับการอ้างถึงความได้เปรียบในเรื่องค่าแรงที่ถูกกว่าไทยหลายเท่า ของประเทศเพื่อนบ้านในแถบอินโดจีน ไม่ว่าจะเป็นลาว พม่า หรืออินโดนีเซีย

"ต้นทุนต้องให้ต่ำที่สุดเพื่อจะได้มีกำไรสูงสุด" เป็นปรัชญาสำคัญของการทำธุรกิจ นายจ้างจึงรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ไตรภาคีมีมติให้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำแม้เป็นเพียงเม็ดเงินแค่ 2-3 บาท (ดูตาราง)

หลักสากลระบุไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงในต้นทุนการผลิตที่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของต้นทุนทั้งหมด จะไม่มีผลกระทบต่อราคาสินค้า และตลอดเวลาที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้รายงานว่า สัดส่วนของค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยจะอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 15 ของต้นทุนทั้งหมด

อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำตลอดสองทศวรรษไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนแต่อย่างไร… หรือแรงงานจะเป็นเพียงแพะรับบาป ที่ถูกนายจ้างหยิบมาอ้าง ??

"ผมคิดว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มนี้มีความเป็นธรรม เพราะค่าครองชีพมันสูงขึ้นและนักลงทุนเขาก็ต้องมองในระยะยาว ไม่ได้ดูเฉพาะค่าจ้างเพียงอย่างเดียว ผมไม่คิดว่ามันจะมีผลกระทบต่อการลงทุน" สถาพร กวิตานนท์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แสดงความเห็นต่อการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำครั้งล่าสุด

นักลงทุนหนี… เหตุเพราะค่าจ้างหรือ ?

สถานการณ์การเลิกจ้างแรงงาน การปิดโรงงาน เป็นหลักฐานสำคัญที่ทางฝ่ายนายจ้างนำมาอ้างตอบโต้การเรียกร้องขอเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเสมอ ล่าสุดเป็นการเคลื่อนไหวของสถาบันการจัดการงานบุคคล สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ที่เปิดเผยข้อมูลการเลิกจ้างแรงงานกว่า 2,500 คน และการปิดกิจการอีกหลายแห่งในเขตจังหวัดปทุมธานีในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2535 โดยอ้างว่าเป็นผลจากค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงขึ้นมาโดยตลอด

พฤติกรรมของโรงงานในนวนครหลายแห่งอยู่ในข่ายข้างต้น จึงสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาเป็นอย่างดี เช่น การปิดกิจการของบริษัท ทีเอ็มเอ็กซ์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนาฬิกายี่ห้อ TIMEX เพื่อการส่งออก โดยบริษัทแม่ในอเมริกาอ้างว่าค่าแรงแพงจึงยุบกิจการในไทยแล้วย้ายฐานการผลิตไปที่ฟิลิปปินส์ หรือการขยายการลงทุนของบริษัทแอนเดอรานส์ (ไทย) ผู้ผลิตวิกผม เพื่อการส่งออกทั้งหมดไปที่จังหวัดบุรีรัมย์โดยลดขนาดการผลิตที่นวนครลง ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอ้างสาเหตุค่าแรงถูกเป็นสิ่งจูงใจสำคัญ เป็นต้น

เป็นความจริงที่ค่าแรงของฟิลิปปินส์ถูกกว่าในเมืองไทย หรือค่าแรงในเขตต่างจังหวัดจะถูกกว่าในเขตกรุงเทพฯ แต่สำหรับนักลงทุนที่มีเหตุผลแล้ว ค่าจ้างไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ใช้พิจารณาตัดสินใจลงทุน

ความพร้อมในสาธารณูปโภคพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเลือกทำเลการลงทุนสักแห่ง นอกเหนือจากฝีมือแรงงาน และความมั่นคงทางการเมือง ที่ต้องพิจารณาร่วมกันไป กรณีประเทศกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดีที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากนักลงทุน แม้ค่าแรงจะถูกแสนถูก

การปิดบริษัททีเอ็มเอ็กซ์ในไทยแล้วไปผลิตจากฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียว หากพิจารณาในแง่การลงทุนก็เป็นการกระทำที่มีเหตุผล ไม่เพียงค่าแรงที่ถูกกว่าในไทย แต่การประหยัดต่อขนาด (ECONOMY OF SCALE) ที่เกิดจากการรวมสองกิจการเหลือเพียงหนึ่งกิจการ การบริหารที่ควบคุมได้อย่างทั่วถึงหรือประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้น ย่อมมีส่วนไม่น้อยในการตัดสินใจ

สำหรับการขยายการลงทุนไปที่บุรีรัมย์ของบริษัทแอนเดอรานซ์ที่ขยายการลงทุนไปที่บุรีรัมย์นอกจากค่าแรงที่ถูกแล้ว บริษัทยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นรถบริการรับส่งหรือหอพัก เพราะแรงงานส่วนมากเป็นคนท้องถิ่นและที่สำคัญคือ พฤติกรรมของแรงงานในต่างจังหวัดมีการแข็งข้อน้อยกว่าแรงงานในนวนครอย่างแน่นอน

หากย้อนไปในช่วงเดือนมิถุนายน 2535 หรือชาวนวนครเรียกว่า "มิถุนาทมิฬ" มีการก่อหวอดประท้วงนัดหยุดงานของลูกจ้างในนวนครหลายแห่ง เพื่อเรียกร้องให้นายจ้างปรับปรุงสวัสดิการและค่าจ้าง กล่าวกันว่าเป็นเชื้อที่เริ่มต้นมาจากความสำเร็จในการประท้วงของลูกจ้างบริษัทมินิแบ ที่นายจ้างญี่ปุ่นยอมตามข้อเสนออย่างง่ายดาย ชาวนวนครจึงขอเลียนแบบ

พฤติกรรมการก่อม็อบของแรงงานก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหนี

"บริษัทแม่ในญี่ปุ่นปฏิเสธการขยายการลงทุนไปแล้วทีหนึ่ง หลังจากเกิดพฤษภาทมิฬ ซึ่งผมก็บอกไปว่าเหตุการณ์สงบแล้ว ให้มาดูได้เลย ทางเขาก็เดินทางมา ปรากฏว่าเจอเหตุการณ์มิถุนาทมิฬพอดี มีแรงงานมาเย้วๆ ทุกวัน เขาจึงไปลงทุนในประเทศอื่น" วีรพัฒน์ เกษสังข์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบริษัทไซโก้ซา (ประเทศไทย) และประธานชมรมบริหารงานบุคคลนวนครเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่เฉพาะในเขตนวนครเท่านั้น โรงงานแถวพระประแดง สมุทรปราการก็ปรากฏเป็นข่าวเสมอ ล่าสุดคือการหยุดงานของคนงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยมานานกว่า 6 เดือน ที่เรียกร้องให้นายจ้างปรับปรุงสวัสดิการหลายอย่าง ยังไม่เป็นที่ยุติ โดยมีบุญช่วย จันทร์ลบ หัวหน้าสหภาพเป็นผู้นำ

เป็นที่น่าสังเกตว่าการเรียกร้องต่างๆ มักจะเกิดในโรงงานที่มีสหภาพแรงงาน เพราะมีผู้นำ หรือที่นายจ้างเรียกว่า "หัวโจก" เป็นศูนย์กลางนั่นเอง

หากการเพิ่มค่าจ้างมีผลต่อการลงทุนจริงแล้ว ทำไมในช่วงรัฐบาลชาติชายจึงมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากมาย จนกระทั่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงสุดในช่วงปี 2533 ทั้งๆ ที่มีการปรับค่าจ้างเพิ่มถึง 2 ครั้งในปี 2532

นโยบายที่เด่นชัดในเรื่องการส่งเสริมการลงทุน การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าในแถบอินโดจีน รวมทั้งการใช้มาตรการด้านภาษีเป็นเครื่องจูงใจโดยการลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเหลือร้อยละ 5 และร้อยละ 0 สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบที่ผลิตเพื่อการส่งออก เป็นสิ่งล่อใจนักลงทุนที่ได้ผลดี

อย่างไรก็ตามความมั่นคงทางการเมืองก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการที่นักลงทุนตระหนักเป็นอย่างมาก เพราะรัฐบาลแต่ละชุดก็จะมีนโยบายที่แตกต่างกันไป จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมการลงทุนจึงชลอตัวอย่างมากตั้งแต่ประชาธิปไตยยุคถอยหลังเข้าคลอง จนกระทั่งพฤษภาทมิฬ ซึ่งสอดคล้องกับที่บีโอไอรายงาน

เสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจลงทุน

รัฐบาล 5 ชุดในเวลา 5 ปี จะไม่ให้นักลงทุนถอยได้อย่างไร ???

ดังนั้นหากการเลิกกิจการหรือปลดคนงานออกด้วยสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างเพียงอย่างเดียว ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทยในการโละทิ้งโรงงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเหล่านั้นมิใช่หรือ

"การปิดกิจการของโรงงานในแถบสมุทรปราการในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะเป็นของนักลงทุนชาวไต้หวันที่เข้ามาลงทุนแบบจับเสือมือเปล่าในช่วงรัฐบาลชาติชาย คือเป็นลักษณะ SUB-CONTRACT ให้บริษัทที่ต่างประเทศ เป็นอุตสาหกรรมง่ายๆ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีอะไร ส่วนใหญ่จะใช้แรงงานเป็นหลัก เช่นขั้นตอนหนึ่งของการทำรองเท้า หรือเครื่องหนัง ค่าจ้างก็ให้ต่ำกว่าขั้นต่ำ" ธรรมรงค์ มุสิกลัด เจ้าหน้าที่ของสภาองค์การลูกจ้างแห่งหนึ่งแถวสมุทรปราการกล่าว พร้อมทั้งย้ำว่า แรงงานที่ทำงานกับพวกบริษัทไต้หวันจะมีปัญหามากที่สุด

และเนื่องจากโรงงานจำนวนไม่น้อยเป็นการผลิตเพื่อส่งออก ย่อมได้รับผลกระทบจากภาวะการชลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอเมริกาที่เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่อย่างแน่นอน

เศรษฐกิจที่ตกต่ำของอเมริกา ทำให้บริษัทชื่อดังหลายแห่งต้องปิดกิจการและปลดคนงานเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไอบีเอ็ม หรือจีเอ็ม รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องดำเนินการหลายอย่างเพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน หรือการขาดดุลการค้าที่สูงขึ้น เช่นการยกเลิก GSP ที่ให้แก่บางประเทศ หรือการใช้มาตรา 301 โต้ตอบประเทศที่มีการเอาเปรียบทางการค้าจากอเมริกา

ญี่ปุ่นเป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของอเมริกาจึงถูกเล่นงานอย่างหนัก สินค้าจากประเทศญี่ปุ่นถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง มิต้องพูดถึงสิทธิพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ค่าเงินเยนที่ต่ำกว่าความเป็นจริงของญี่ปุ่นก็ถูกหลายประเทศเรียกร้องให้มีการปรับสูงขึ้น เพราะค่าเงินที่ต่ำเกินไปจะทำให้ราคาสินค้าส่งออกมีราคาถูกมากในสายตาของคนต่างประเทศ

นักลงทุนจากญี่ปุ่นจึงต้องไปแสวงหาฐานการลงทุนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาที่ยังคงได้รับสิทธิพิเศษจากอเมริกา ซึ่งไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความสนใจ พิจารณาจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นมากที่สุด รองลงมา คือ ไต้หวัน และอเมริกา

"ในช่วงปีที่แล้วตลาดอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์อยู่ในภาวะซบเซาเพราะมันเป็นวงจรเหมือนสินค้าทั่วๆ ไป ก่อนที่จะมีการพัฒนาที่สูงขึ้นไปอีก" บุคคลในแวดวงคอมพิวเตอร์ชี้แจง จึงไม่ต้องสงสัยว่าสัดส่วนของกิจการที่ผลิตอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์จะมีปัญหาเรื่องออเดอร์ที่ลดลงมากที่สุด

มิซึกิ อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทที่เคยมีพนักงานมากที่สุดในนวนคร ทำการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ อุปกรณ์การไฟฟ้าเพื่อการส่งออกทั้งหมด มียอดการปลดพนักงานสูงสุดเช่นกัน คือกว่า 1,000 คนในช่วงปลายปีที่แล้ว ขณะที่ฟูจิสึ (ประเทศไทย) ซึ่งผลิตสินค้าประเภทเดียวกันเพื่อการส่งออกเหมือนกัน กำลังเร่งขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต

ผู้บริหารของมิซึกิอ้างว่าเป็นเพราะค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความซบเซาของตลาดต่างประเทศเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สินค้าขายสูงประเทศอื่นไม่ได้ แต่ความจริงแล้วมีสาเหตุอื่นที่ทางบริษัทไม่ได้อ้างถึงและดูเหมือนจะเป็นเหตุผลหลักด้วยซ้ำไป
กล่าวคือ มิซึกิเป็นบริษัทที่ทำการผลิตโดยไม่มีแบรนด์เนมเป็นของตัวเอง หรือเป็นบริษัทที่คอยรับจ้างทำการผลิตตามออเดอร์เป็นหลัก กิจการของบริษัทจึงขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลักจึงได้รับผลกระทบอย่างแรงในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ขณะที่ฟูจิสึมีแบรนด์เนมเป็นที่ยอมรับของตลาด จึงได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย
ค่าจ้างขั้นต่ำ ทำไมต้องปรับทุกปี
"หากไม่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างประจำปีก็ไม่มีการปรับสิ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดนี้เป็นค่าจ้างขั้นสูงของโรงงานบางแห่งโดยเฉพาะโรงงานที่ไม่มีสหภาพแรงงาน" บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงันผู้ศึกษาเรื่องแรงงานมานานกว่า 10 ปี กล่าวถึงสาเหตุที่ลูกจ้างต้องเรียกร้องขอปรับค่าจ้างขั้นต่ำทุกๆ ปี
อุตสาหกรรมในประเทศส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดเล็กที่ไม่มีสหภาพแรงงาน จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจำนวนแรงงานภาคเอกชนที่เป็นสมาชิกสหภาพจึงมีเพียง 180,000 คน คิดเป็นสัดส่วนก็ประมาณร้อยละ 1.5 ของแรงงานภาคเอกชนทั้งหมด และสัดส่วนจำนวนน้อยนนี้เองที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากมีสหภาพแรงงานเป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ให้
ค่าจ้างขั้นต่ำมีความหมายชัดเจนว่า "รายได้ที่เพียงพอสำหรับลูกจ้างไร้ฝีมือหรือที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดงาน 1 คน ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามปกติวิสัย" ดูจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
จะว่าเป็นความไม่รู้จักพอของลูกจ้าง หรือที่นายจ้างชอบเรียกว่า กินไม่รู้จักอิ่ม ก็คงไม่ผิดนัก เพราะราคาสินค้ามันแพงขึ้นทุกๆ ปี รวมทั้งฐานของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนดเริ่มแรงเพียง 12 บาทก็ต่ำเกินไป
งานวิจัยของ ไตรรงค์ สุวรณคีรี ที่ทำการศึกษาแล้วพบว่าค่าจ้างขั้นต่ำไม่ควรน้อยกว่า 31.96 บาทต่อวัน ในช่วงปี 2518 ผลคือมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 25 บาทต่อวัน ในเดือนมกราคมของปีนั้น
"รัฐบาลคุมราคาของไม่ได้แล้วจะให้พวกผมทำอย่างไร บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ ของก็แพงเอาๆ มันก็ต้องเรียกร้องให้มีการปรับค่าจ้างทุกปี" อาภรณ์ สังขะวัฒนะ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ "พี่ใหญ่" กล่าว

อาภรณ์ไม่ปฏิเสธว่าแรงงานในนวนครมากกว่าร้อยละ 80 ได้รับค่าจ้างตามเกณฑ์ และหากปีใดมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้พวกเขาได้ประโยชน์เพิ่มเติมนอกจากการปรับค่าจ้างประจำปี

นายจ้างส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน คือ จะปรับค่าจ้างประจำปีในอัตราที่ต่ำมาก เฉลี่ยประมาณ 4-5 บาทต่อปีเท่านั้น เพราะรู้ว่าจะต้องปรับอีกครั้งภายหลังการปรับค่าจ้างขั้นต่ำและดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมไปแล้ว

จึงมิต้องสงสัยว่าทำไมแรงงานจึงต้องก่อม็อบเรียกร้องเพิ่มค่าจ้างทุกปี

อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งที่ค่าจ้างขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่า แรงงานไม่ได้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่อย่างไร อำนาจซื้อที่เพิ่มน้อยกว่าราคาสินค้า เป็นการซ้ำเติมแรงงานให้มีความเป็นอยู่แย่ลงอย่างร้ายกาจ

รัฐบาล…เจ้าพ่อไตรภาคี

"วันนั้นจริงๆ แล้วไม่มีการโหวตกันด้วยซ้ำ รัฐบาลบอกให้ออมชอมกัน ซึ่งก็รู้กันมาตั้งนานแล้วว่าต้อง 125 บาท เพราะกรรมการบางท่านได้ปล่อยข่าวออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ควรเปลี่ยนชื่อกรรมการเป็นเอกภาคีจะเหมาะสมกว่า" ทิวา ธเรศวร หนึ่งในคณะกรรมการค่าจ้างชุดปัจจุบันในฐานะตัวแทนฝ่ายนายจ้างเล่าถึงบรรยากาศในที่ประชุมไตรภาคี ในการประชุมเพื่อกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับคณะกรรมการท่านอื่นไม่ว่าจะเป็น พิชัย ซื่อมั่น หรือ บรรจง บุญรัตน์ ในฐานะตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง

เป็นนัยยะที่อธิบายได้ดีตามข้อสังเกตที่พบว่า ทุกครั้งที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะไม่มีฝ่ายใดพอใจเลย ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วมันต้องเป็นผลผลิตร่วมจากตัวแทนทั้ง 3 ฝ่าย หรือที่รู้จักกันดีในนามของ "ไตรภาคี"

หลักการของไตรภาคีเป็นสิ่งดีที่ให้ตัวแทนของทุกๆ ฝ่ายมาเจรจากัน ภายใต้ความเป็นกลางของรัฐบาล โดยใช้มติ 2 ใน 3 ของที่ประชุมเป็นเกณฑ์ ในบางปีจึงมีข่าวการซื้อเสียงของฝ่ายนายจ้าง โดยเฉพาะในปีที่ไม่มีการปรับค่าจ้างหรือมีการปรับเพียงเล็กน้อย

ชิน ทับพลี ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาลูกจ้างแห่งชาติเป็นผู้นำแรงงานที่มีบทบาทโดดเด่นมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นับแต่เป็นประธานจัดคอนเสริต์ต้านภัยแล้งเพื่อดึงดูดความสนใจจากประชาชนที่ไปชุมนุมกันที่สนามหลวงในช่วงพฤษภาทมิฬ หรือเป็นผู้เสนอให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบสุดโต่ง คือ 145 บาท ด้วยเหตุผลที่ว่าเท่ากับเงินเดือนขั้นต่ำของพนักงานรัฐวิสาหกิจ

"ผมรู้จักนักลงทุนชาวไต้หวันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะแถวปากน้ำ…145 บาท เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่เขาบ่นมากก็เรื่องสาธารณูปโภคต่างๆ ที่มันมีไม่พอ เช่นน้ำประปา หรือการจราจรที่ติดขัด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เขาจะหนีมากกว่า" ชินกล่าว พร้อมทั้งแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการค่าจ้างชุดปัจจุบันว่า "ระบบไตรภาคีปัจจุบันห่วยที่สุด เพราะตัวแทนฝ่ายลูกจ้างถูกครอบงำง่าย และคณะกรรมการฝ่ายลูกจ้างก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนอย่างแท้จริง แม้จะมาจากการเลือกตั้งก็ตาม"

อาจเป็นเพราะไม่มีสมาชิกของสภาลูกจ้างแห่งชาติ ได้รับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีในชุดปัจจุบันเลยก็ได้ที่ทำให้ชินมีความเห็นเช่นนี้??

จะว่าไปแล้วก็หนีไม่พ้นเรื่องการเมือง เพราะตัวแทนฝ่ายรัฐบาลส่วนมากจะมาจากข้าราชการประจำโดยเฉพาะประธานค่าจ้างจะเป็นของรองปลัดกระทรวงมหาดไทยโดยตำแหน่ง ระบบนายว่าอย่างไรแล้วลูกน้องต้องว่าตาม ไม่ได้ถูกห้ามใช้ในระบบไตรภาคีแต่อย่างไร?

ดูเหมือนว่าการครอบงำของรัฐบาลจะเริ่มตั้งแต่คณะกรรมการชุดที่ 1 ที่พบว่าไตรภาคีจะมีตัวแทนจากรัฐบาลถึง 7 คน คณะที่มีตัวแทนจากฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างเพียงฝ่ายละ 1 คนเท่านั้น ค่าจ้างขั้นต่ำเริ่มแรกเพียง 12 บาทต่อวัน สอดคล้องกับนโยบายดึงดูดนักลงทุนด้วยค่าจ้างต่ำเป็นอย่างดี

แรงกดดันทางการเมืองและอำนาจการต่อรองของแต่ละฝ่ายจะเป็นตัวตัดสินว่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นเท่าไร ขณะที่หลักทางวิชาการไม่ว่าจะเป็นดัชนีราคาผู้บริโภค การขยายตัวทางเศรษฐกิจ จะเป็นเพียงประเด็นหลักที่ถูกนำมาอ้างให้มีการปรับค่าจ้างในฐานะผู้แทนฝ่ายนายจ้างถึงสามสมัย (2528-2534) เคยกล่าวภายหลังที่ประชุมมีมติให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำจาก 73 บาทเป็น 76 บาทในช่วงรัฐบาลชาติชาย ในทำนองว่า รัฐบาลกลัวม็อบขณะที่ตนไม่กลัว แต่ด้วยการขอร้องจากผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐบาลที่พูดไปแล้วว่าจะมีการปรับค่าจ้าง ซึ่งหากตนมีทีท่าแข็งกร้าวเกินไปก็อาจมีปัญหา จึงยอมให้มีการปรับค่าจ้างเพิ่ม 3 บาท

ขณะที่บรรจง บุญรัตน์ หนึ่งในคณะกรรมการค่าจ้างชุดปัจจุบันของตัวแทนฝ่ายลูกจ้างบอกว่า "ในที่ประชุมทางฝ่ายนายจ้างค่อนข้างจะมีอารมณ์เพราะไม่พอใจในตัวเลขที่ทางฝ่ายรัฐบาลเสนอเข้าข้างลูกจ้างมากเกินไป"

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจรัฐบาลเพราะไม่ว่านายจ้างหรือลูกจ้างก็ต้องการผลประโยชน์สูงสุดแต่ระยะเวลามันจำกดั รัฐบาลจึงจำเป็นต้องแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของตนเอง และบ่อยครั้งที่รัฐบาลใช้วิธีประนีประนอมโดยให้พบกันคนละครึ่งทางระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีในระยะสั้น แต่หากทำเช่นนี้เรื่อยๆ ไป ระบบไตรภาคีก็จะไม่มีการพัฒนาแต่อย่างไร

"กรรมการฝ่ายรัฐบาลควรเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง เพื่อมีอิสระในความคิด ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และอย่าดูเพียงเม็ดเงิน ควรดูสวัสดิการที่เราให้เขาด้วย เพราะเมื่อค่าจ้างขึ้นราคาสินค้าก็เพิ่ม รัฐบาลไม่มีฝีมือในการควบคุมราคา ไม่ใช่เพราะนายจ้าง" ทิวา ธเนศวรให้ข้อเสนอวิธีการยกเครื่องไตรภาคี

ประสบการณ์การเป็นผู้ว่าราชการที่รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเคยดำรงมานาน 15-30 ปี มันต่างจากหลักการของไตรภาคีอย่างสิ้นเชิง บทบาทของการเป็นผู้นำมากว่าค่อนชีวิต แล้วจู่ๆ จะให้มาใช้การประนีประนอม ไม่เป็นการเหมาะสมอย่างแน่นอน

"ควรแก้ที่ตัวประธานก่อน" สังศิต พิริยะรังสรรค์ อาจารย์หนุ่มจากรั้วจามจุรีที่มีบทบาทค่อนข้างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากรายงานการวิจัยเรื่องการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ทางฝ่ายลูกจ้างนำไปใช้อ้างอิง กล่าวได้ตรงประเด็นที่สุดในการยกเครื่องไตรภาคี

กฎหมายที่ปัจจุบันกำหนดบทบาทคณะกรรมการเพียงรับเรื่องร้องทุกข์เมื่อมีคนมาเรียกร้องแล้วนำมาให้รัฐบาลทราบ ก็เป็นสิ่งที่ควรแก้ไข เพื่อขยายบทบาทหน้าที่ของกรรมการให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่งเหมาะสมกับงานระดับชาติที่ต้องศึกษากันอย่างจริงจังและทำทั้งปีไม่ใช่ทำเพียง 2-3 เดือนภายหลังมีการเรียกร้องหรือจะประชุมทีก็ต้องโทรนัดกันตามที่ต่างๆ เหมือนในปัจจุบัน

"การปรับค่าจ้างขั้นต่ำทุกปีบ้า ไม่ถูกต้องควรทำเหมือนต่างประเทศที่กำหนดไปเลยว่าจะปรับตามสิ่งใด" โสภณ วิจิตรกร ประธานบริษัทนครหลวงเส้นใยสังเคราะห์เป็นนายจ้างคนหนึ่งที่กล้าแสดงความเห็น

ส่วนฝ่ายแรงงานดูเหมือนจะชอบวิธีการเรียกร้องมากกว่า อาจเป็นเพราะธรรมชาติมีนิสัยชอบความเสี่ยงมากกว่านายจ้าง ดังที่ "พี่ใหญ่" ของแรงงานในนวนครกล่าว ว่า "มันมีโอกาสที่จะได้เงินเพิ่มมากกว่าการกำหนดเป็นเกณฑ์ที่ตายตัว"

เกณฑ์การปรับค่าจ้างขั้นต่ำก็ควรมีการกำหนดให้แน่ชัดไปเลยว่าจะใช้เกณฑ์อะไร เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกๆ ฝ่าย โดยเฉพาะนักลงทุนที่สามารถคาดการณ์ต้นทุนได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องตึงเครียดกับแรงกดดันที่เกิดขึ้นทุกปี ขณะที่ลูกจ้างก็ทราบถึงรายได้ที่แน่นอนและเป็นธรรมตามอายุงานเหมือนราชการ ไม่ใช่ว่าทำงานมาเป็นสิบปีก็ได้ค่าจ้างเท่ากับลูกจ้างเข้างานใหม่ หรือค่าจ้างขั้นต่ำก็คือค่าจ้างขั้นสูงของโรงงานบางแห่ง

ระบบค่าจ้างแบบลอยตัวเหมือนต่างประเทศก็เป็นอีกวิธีที่ฝ่ายนายจ้างเสนอ

การปล่อยให้ค่าจ้างลอยตัวดูเหมือนจะเป็นวิธีการที่ดี โดยเฉพาะในทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีความเชื่อมั่นในกลไกตลาดมากว่า จะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ค่าตัววิศวกรที่สูงมากเนื่องจากการขาดแคลนในช่วง 3-4 ปีก่อน กับจำนวนบัณฑิตในสาขาวิศวะที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันสามารถอธิบายได้เป็นอย่างดี

แต่ระบบดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นเรื่องของแรงงานไร้ฝีมือ เพราะมันหมายถึงหลักประกันที่รัฐบาลให้กับแรงงานว่าเป็นรายได้ต่ำสุดที่เขาจะได้รับเพียงพอแก่การยังชีพ

หากปล่อยให้ลอยตัว ภายใต้สังคมที่มีแรงงานไร้ฝีมืออยู่จำนวนมาก ขณะที่นายจ้างมีสัดส่วนที่น้อย ซึ่งง่ายแก่การรวมตัว แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าแรงงานจะได้รับค่าจ้างตามกลไกตลาด

อย่างไรก็ตามหากกฎหมายเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำยังไม่สามารถบังคับให้นายจ้างปฏิบัติตามได้อย่างทั่วถึงแล้ว ก็ป่วยการที่จะเถียงกันในเรื่องหลักการต่างๆ เพราะไม่ได้ช่วยทำให้แรงงานไร้ฝีมืออันเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของนิยาม "ค่าจ้างขั้นต่ำ" มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างไร



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.