"บทบาทรัฐต่อสถาบันการเงินจากกรณี "เอฟซีไอ"

โดย สุนทราภรณ์ เตชะพะโลกุล สุนิสา อาณากุล
นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

การศึกษาและการเก็บข้อมูลงานศึกษาวิจัยความคิดเห็นของประชาชนต่อบทบาทของรัฐหรือทางการนี้ ประมวลขึ้นจาก ฐานข้อมูลข่าว เอกสารทางวิชาการ และการสำรวจความเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครที่สนใจ และติดตามข่าวตลาดเงินและความเป็นไปของบริษัทเงินทุนเอฟซีไอเป็นหลัก โดยใช้แบบสัมภาษณ์ผู้มีอาชีพหรือมีหน้าที่อยู่ในระดับผู้บริหาร (หมายถึงระดับผู้จัดการและหัวหน้าแผนกขึ้นไป) ระดับพนักงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐ (หมายถึงระดับต่ำกว่าผู้จัดการหรือหัวหน้าแผนกลงมา) อาชีพโบรกเกอร์หรือนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนักศึกษา รวมทั้งสิ้น 106 ตัวอย่าง (ดูตารางลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง) ในระหว่างวันที่ 1-5 มีนาคม 2536

รัฐควร "เปิดเผยข้อมูล" เมื่อพบเหตุให้เกิดความเสียหาย

จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปตรวจสอบหลักฐานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอฟซีไอจัดทำขึ้น และพบว่ามีหนี้ด้อยคุณภาพเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่กลางปี 2535 นั้น แต่มิได้เปิดเผยข้อมูลแก่สาธารณชนทราบ เนื่องจากจะทำให้ประชาชนแตกตื่นมาถอนเงินจนเป็นผลให้บริษัทเงินทุนนั้นล้มได้ นอกจากนี้ตามพระราชบัญญัติเงินทุนฯ มาตรา 77 ห้ามมิให้นำข้อมูลที่ล่วงรู้จากการปฏิบัติหน้าที่ด้านการตรวจสอบมาเปิดเผย แต่อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ซึ่งมีหน้าที่กำกับและดูแลตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งทราบข้อมูลดังกล่าวกลับมิได้แจ้งแก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลแก่นักลงทุนทราบ

จากการสำรวจความเห็นของกลุ่มตัวอย่างต่อ "การเปิดเผยข้อมูล" ของรัฐหรือทางการ ในแง่ของ "ความสมควร" เปิดเผยข้อมูลหรือไม่ พบว่า กลุ่มตัวอย่างไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงหรืออยู่ในสาขาอาชีพใด ต่างเห็นว่าสมควรเปิดเผยข้อมูลคิดเป็นร้อยละ 67.9 โดยที่มากกว่าร้อยละ 70 ของกลุ่มผู้มีความเห็นดังกล่าวมีอาชีพหรือหน้าที่เป็นผู้บริหาร โบรกเกอร์หรือนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และพนักงาน สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เห็นว่าไม่สมควรเปิดเผยข้อมูลคิดเป็นร้อยละ 32.1 (ดูตารางความเห็นต่อ "การเปิดเผยข้อมูล" ของทางการเมื่อพบปัญหา)

เมื่อสอบถามถึงเหตุผลของการสมควรให้มีการเปิดเผยข้อมูล ประมาณเกือบครึ่งหนึ่งเห็นว่า ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้ฝากเงินและนักลงทุน และร้อยละ 25.3 และ 24.2 ให้เหตุผลว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลนักลงทุนจะเกิดการระมัดระวังแต่เนิ่นๆ และการไม่เปิดเผยข้อมูลจะก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นในหมู่นักลงทุน ที่เหลืออีกร้อยละ 7.1 เห็นว่า เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจพบปัญหาควรเปิดเผยข้อมูลในระดับหนึ่ง เพื่อสร้างมาตรฐานความโปร่งใสให้เกิดขึ้นในสังคม และนักลงทุนหรือผู้ฝากเงินควรได้มีโอกาสตัดสินใจเลือกลงทุนภายใต้ตลาดข่าวสารที่เป็นเสรี

สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เห็นว่าไม่สมควรเปิดเผยข้อมูลให้เหตุผลว่า ควรให้รัฐหรือธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทดลองแก้ปัญหาในระยะเวลาหนึ่งก่อน คิดเป็นร้อยละ 51.1 ส่วนอีกร้อยละ 33.3 เห็นว่า จะทำให้เกิดความตื่นตระหนกจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินวิกฤติ และส่งผลกระทบต่อระดับมหภาคได้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐหรือทางการไม่เหมาะสม

จากการสำรวจความเห็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า โดยส่วนใหญ่เห็นว่าต่างมิได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่เหมาะสม คิดเป็นร้อยละ 63.2, 55.7 และ 50.9 ตามลำดับ โดยเป็นความเห็นของเพศหญิงและเพศชาย ในสัดส่วนที่มีขนาดใกล้เคียงกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่าในกลุ่มผู้บริหารและโบรกเกอร์หรือนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีถึงร้อยละ 40-50 จะให้ความเห็นอื่นๆ ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ มากกว่าจะลงความเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานทั้งสองเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมโดยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ก.ล.ต. เป็นเครื่องมือของผู้มีอิทธิพลภายในประเทศ จึงมีการเลือกปฏิบัติและมีการใช้ข้อมูลภายใน (INSIDE INFORMATION) เป็นประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เตือนนักลงทุนช้าไปจนกลายเป็นการปกป้องสถาบันการเงิน มากกว่าช่วยเหลือนักลงทุน ทำให้การบริหารความเสี่ยงของนักลงทุนและการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมิได้เป็นไปตามกลไกของตลาด ส่วนตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นล้มเหลวในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และข้อเท็จจริงต่อประชาชน เนื่องจากเผยแพร่ข้อมูลตามที่สถาบันการเงินจัดทำขึ้น ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ เพราะการตรวจสอบเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย และข่าวสารที่เผยแพร่ไม่รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นได้ปฏิบัติงานจริง แต่ก็ล่าช้าในการแก้ปัญหาและควรมีการเปิดเผยข้อมูลในระดับหนึ่ง เมื่อพบเหตุให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของประชาชน


การปฏิบัติงานของรัฐล่าช้าและไม่โปร่งใส

สำหรับความเห็นต่อการปฏิบัติงานของรัฐหรือทางการในกรณีปัญหา "เอฟซีไอ" นั้นส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐดำเนินการแก้ปัญหาล่าช้าหรือควรแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วกว่านี้ คิดเป็นร้อยละ 36.8 รองลงมาคือ เห็นว่าวิธีการทำงานของรัฐยังไม่โปร่งใส รัฐมิได้ประสานงานกันในการแก้ปัญหา และการปฏิบัติงานของรัฐต่อกรณีเอฟซีไอผิดพลาด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30.2, 23.6 และ 5.6 ตามลำดับ

บทบาทรัฐ : ควร "ป้องกันปัญหา" มากกว่า "ตามแก้ไขปัญหา"

จากบทเรียนเรื่องเอฟซีไอ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดบทบาทที่ควรจะเป็นของรัฐ หรือทางการสำหรับวันข้างหน้าได้ กล่าวคือกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 43.6 ให้ความเห็นว่า บทบาทของรัฐควรอยู่ในรูปของการป้องกันปัญหามากกว่าจะตามแก้ไขปัญหาดังที่เป็นมา รองลงมาคือร้อยละ 23.8 เห็นว่ารัฐควรมีระบบเผยแพร่ข้อมูลและวิธีการเผยแพร่ข้อมูลที่ดีและรวดเร็ว ที่เหลืออีกร้อยละ 17.0 เห็นว่ารัฐควรสร้างระเบียบที่รัดกุมและมีการตรวจสอบสถาบันการเงินที่เข้มงวดขึ้น อีกร้อยละ 9.4 เห็นว่ารัฐควรจัดการคืนเงินแก่ผู้ฝากเงินโดยเร็วที่สุด และร้อยละ 1.7 เห็นว่าบทบาทของรัฐที่ผ่านมา (ต่อกรณีเอฟซีไอ) เป็นบทบาทที่ดีที่สุดแล้ว

นอกจากนั้นยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่าควรจะมีการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากแก่ผู้ฝากเงินกับสถาบันการเงิน ส่วนรัฐควรเป็นเพียงผู้ดูแลและเผยแพร่ข่าวสารให้รวดเร็วและทั่วถึง

การพยุงฐานะเอฟซีไอเป็นความเหมาะสมในภาวะการณ์เช่นนี้

จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างมีถึงร้อยละ 61.3 เห็นว่าการแก้ไขสถาบันการเงินที่มีปัญหาโดยทางการเข้าไปโอบอุ้มเป็นวิธีการที่เหมาะสม (ดูตารางวิธีการฟื้นฟูสถาบันการเงินที่มีปัญหาโดยการโอบอุ้ม) เนื่องจากต้องสร้างภาพพจน์และเรียกความศรัทธา ความเชื่อถือของประชาชนและนักลงทุนต่างชาติต่อระบบสถาบันการเงินไทยกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เงินออมไหลออกสู่ตลาดเงินนอกระบบหรือนอกประเทศ มิฉะนั้นจะสร้างผลกระทบต่อระบบความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เห็นด้วยต่อวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว มีเพียงร้อยละ 29.2 โดยมีเหตุผลว่าการเข้าอุ้มชูไม่เพียงแต่ทำให้เกิดต้นทุนต่างๆ ที่สูงมากแก่รัฐและสถาบันการเงินอื่นที่ยังดีอยู่ รัฐยังต้องรับผิดชอบต่อปัญหาหนี้สินคุณภาพต่ำ หรือมีฐานะน่าสงสัย นอกจากนี้ยังคล้ายเป็นเครื่องรับรองว่าหากสถาบันการเงินมีปัญหา รัฐจะเข้าแทรกแซงช่วยเหลือแก่ผู้ดำเนินธุรกิจการเงินเนื่องจากต้องพยายามรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันการเงินทั้งระบบ จึงต้องช่วยรัฐพยุงฐานะของสถาบันการเงินอย่างแน่นอน ทำให้สถาบันการเงินบริหารงานโดยไม่มีความเสี่ยง และขาดความรับผิดชอบเนื่องจากมีรัฐมารับผิดชอบให้ นอกจากนี้ยังไม่ช่วยพัฒนาวิจัยทางการเงินแก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้อื่นๆ ของสถาบันการเงินเพราะต่างมั่นใจว่าสถาบันการเงินนั้นจะไม่มีวันล้ม ความเสี่ยงในแง่ต้องคำนึงถึงผลประกอบการและความมั่นคงจึงไม่มี ทำให้ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้รายอื่นของสถาบันการเงินสนใจแต่เฉพาะผลตอบแทน (TRADE OFF) ระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทน ดังนั้นการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงินจึงไม่เป็นธรรมเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ต่างกัน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.