"กนก"บริหารแฟมิลี่มาร์ท ผู้ถือหุ้นหยุดเจรจาขายหุ้นให้เจ้าพ่อน้ำเมา


ผู้จัดการรายวัน(6 กุมภาพันธ์ 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

"กนก วงษ์ตระหง่าน" เข้าบริหารแฟมิลี่มาร์ท 1 มีนาคมนี้ ด้านผู้ถือหุ้นสยามแฟมิลี่มาร์ทหยุดเจรจาขายให้กลุ่ม "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ชั่วคราว ชี้รับเงื่อนไขบางเรื่องไม่ได้ พร้อมปฏิเสธไม่มีปัญหาเรื่องเงินลงทุน แต่ข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมาสร้างความเสียหายให้แก่แบรนด์ และแฟรนไชซี่เกิดความสับสนเป็นอย่างมาก เตรียมเปิดแถลงข่าวเคลีย์ปัญหาทั้งหมดเร็วๆ นี้

แหล่งข่าวระดับสูงจากเซ็นทรัลกรุ๊ป เปิดเผย"ผู้จัดการรายวัน" ถึงการลาออกของ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน จากการเป็นประธานบริหารสายปฏิบัติการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหา ชน) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2546 นี้ เนื่องจากศ.ดร.กนกได้รับการทาบทามจากกลุ่มผู้ถือหุ้นของ บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ให้เข้ามาบริหาร งานนานแล้ว และเมื่อศ.ดร.กนก ดำเนิน ภารกิจในโรบินสันแล้วเสร็จ จึงตัดสินใจที่จะร่วมงานในแฟมิลี่มาร์ท เพราะเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันในเชิงยุทธศาสตร์ และท้าทายความสามารถ

ทั้งนี้ แฟมิลี่มาร์ทนับเป็นธุรกิจที่มีความเกี่ยวพันธ์กับโรบินสัน ในฐานะที่โรบินสันเป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่งใน บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ 13.33% ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นประกอบด้วย แฟมิลี่มาร์ท ญี่ปุ่น 43%, เอส เอฟ เอ็ม โฮลดิ้ง 21%, สหพัฒนพิบูล 8.33% , ไอ.ซี.ซี. 8.33% และอิโตชู 6%

สำหรับความคืบหน้าของบริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ในการหาผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามาถือหุ้นนั้น ซึ่งเคยมีข่าวออกมาว่าทางกลุ่มเซเว่นอีเลฟเว่น และกลุ่ม นายเจริญ สิริวัฒนภักดี สนใจที่จะเข้ามาซื้อหุ้นในบริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด นั้น แหล่งข่าวจากผู้ถือหุ้นในสยามแฟมิลี่มาร์ท กล่าวกับ "ผู้จัดการรายวัน"ว่า ข่าวที่เกิดขึ้นสร้างความสับสน เสียหาย ให้แก่แฟมิลี่มาร์ทเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะทางผู้ถือหุ้นฝ่ายญี่ปุ่นรู้สึกงง และไม่พอใจกับข่าวที่ออกมาเป็นอย่างมาก และที่สำคัญทำให้แฟรนไชซี่ หรือนักลงทุนที่ซื้อแฟรนไชส์ของแฟมิลี่มาร์ทไปดำเนินกิจการเกิดความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของบริษัท ในขณะที่กลุ่มซัปพลายเออร์ที่ส่งสินค้าให้แฟมิลี่มาร์ทก็เกิดความระส่ำไปด้วยเช่นกัน

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สยามแฟมิลี่มาร์ท ไม่เคยเจรจากับกลุ่มเซเว่นอีเลฟเว่นแต่อย่างใด แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เซเว่นฯจะสนใจธุรกิจของแฟมิลี่มาร์ท เนื่องจากแต่ละสาขาของแฟมิลี่มาร์ทจะตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งหากซื้อไปก็สามารถ ดำเนินกิจการต่อไปทันที แต่บริษัทก็ยืนยันว่าจะไม่ขายกิจการให้แก่เซเว่นฯอย่างแน่นอน

"หลังจากที่มีข่าวออกมาว่าเซเว่นฯจะซื้อแฟมิลี่มาร์ทนั้น ทางผู้บริหารของแฟมิลี่มาร์ทก็ได้ต่อว่าทางเซเว่นฯไปแล้ว ซึ่งทางผู้บริหารของเซเว่นฯชี้แจงว่า เพียงแต่พูดว่าสนใจเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โต"

สำหรับการเจรจากับกลุ่ม นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกลุ่มสุราแสงโสมนั้น ได้เคยเจรจาตั้งแต่แต่ปีที่ผ่านมา เนื่องเพราะทางกลุ่ม นายเจริญสนใจธุรกิจร้านแฟมิลี่มาร์ท แต่ขณะนี้ทางสยามแฟมิลี่มาร์ทขอหยุดการเจรจาลงชั่วคราว เนื่องจากการเจรจาที่ผ่านมายังไม่สามารถหาจุดที่ลงตัวได้ เช่น เรื่องของบุคลากรที่จะเข้ามาบริหารงานและขอเงื่อนไขอื่นๆอีกหลาย เรื่อง ซึ่งสยามแฟมิลี่มาร์ทยังรับข้อเสนอเหล่านั้นไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การหยุดเจรจาระหว่างสยาม แฟมิลี่มาร์ท กับกลุ่มนายเจริญในครั้งนี้ มิใช่ปิด ประตูตายเสียทีเดียว ซึ่งแหล่งข่าวบอกว่าเพียงแค่หยุดเจรจาเท่านั้น ซึ่งในอนาคตหากทั้งสองกลุ่มกลับไปทำการบ้านกันใหม่อีกครั้ง อาจจะนัดกลับมาเจรจากันใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ได้

สำหรับกรณีของข่าวที่ออกมาว่าสยามแฟมิลี่มาร์ทขาดเงินทุนในการขยายธุรกิจนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะสยามแฟมิลี่มาร์ทมีกลุ่มผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ซึ่งสามารถเจรจากู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆมาขยายสาขาได้อย่างไม่มีปัญหา

ส่วนทิศทางของสยามแฟมิลี่มาร์ทในอนาคตนั้น คงต้องเน้นการขยายสาขาให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสาขาทั้งหมด มีจำนวนสาขาเพียง 246 สาขา ซึ่งยังนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเชนร้านสะดวกซื้อรายอื่นที่มีจำนวนสาขามากกว่า 2,000 สาขาแล้ว

"ในเร็วๆนี้สยามแฟมิลี่มาร์ทจะออกมาแถลงข่าว ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลาย และไม่เป็นที่เข้าใจผิดของคนทั่วไปอีกต่อไป" ผู้ถือหุ้นในสยามแฟมิลี่มาร์ท กล่าว แต่เมื่อผู้จัดการสอบถามกลับไปว่าจะแถลงข่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารงานด้วยหรือไม่ แหล่งข่าวกล่าวว่ายังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก ให้ความเห็นว่า การเข้ามาบริหารงานของ ศ.ดร. กนก ในสยามแฟมิลี่มาร์ท น่าจะเป็นผลดี เพราะจะทำให้การบริหารงานสามารถเข้าใจพนักงานและกลุ่มผู้บริโภคได้ดีมากขึ้น เนื่องจากมีผลงานในการแก้วิกฤตของโรบินสันจนกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

ในขณะที่ปัจจุบันผู้บริหารระดับสูงของสยามแฟมิลี่มาร์ทเป็นคนญี่ปุ่น จึงอาจไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรของไทย และหากพิจารณาถึงธุรกิจค้าปลีกของญี่ปุ่นที่เข้ามาขยายสาขาในประเทศไทยและบริหารงานโดยคนญี่ปุ่น ก็พบว่าม้วนเสื่อกลับบ้านไปแล้วหลายราย ดังนั้นการตัดสินใจดึงผู้บริหารคนไทยเข้ามาบริหารในครั้งนี้เชื่อว่ากลุ่มสยามแฟมิลี่มาร์ทยังต้องการขยายธุรกิจในประเทศไทยต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.