ณ ห้อง THE AUTHOR'S RESIDENCE หลังระเบียงมุขขาว ปูลาดบันไดเวียนด้วยพรมเหลืองไพรของโรงแรมโอเรียนเต็ล
ถูกจัดเป็นที่พำนักของประธานาธิบดี พลเอกฟิเดล รามอส และสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศฟิลิปปินส์
นางอเมลลิต้า มาติเนซ ภริยาร่วมทุกข์ร่วมสุขของประธานาธิบดีตากาล็อกคนปัจจุบันมากว่า
40 ปี
มองจากความชื่นบานบนใบหน้าของท่านผู้หญิงอเมลลิต้า รามอสแล้วใครๆ ก็เชื่อว่า
การเข้าไปนั่งอยู่บนหอคอยงาช้างยามนี้ คงจะเป็นสุขเสียเหลือเกิน
"บอกตรงๆ เลยว่าบางครั้งก็เกิดอาการท้อแท้ อ่อนล้า กับการถูกวิจารณ์จากสื่อมวลชนที่เฝ้าแต่จะชนท่านประธานาธิบดีอย่างไม่เป็นธรรม
แล้วไหนจะฝ่ายค้านที่โจมตีไปเสียทุกเรื่อง ดิฉันก็เลยคุยกับท่านว่า เราทำงานกันแทบตาย
แต่พวกเขาคิดว่าเราไม่ทำอะไรเลย ทำไมไม่ลาออกเสีย ท่านก็ได้แต่หัวเราะ"
จากครูสตรีสอนวิชาพละศึกษา ไต่เต้าไปสู่การเป็นภรรยานายทหารหนุ่ม อดีตเพื่อนซี้แต่เยาว์วัย
บุตรชายอดีตเลขาธิการกระทรวงการต่างประเทศ เวียนว่ายแยกย้ายไปศึกษาต่อต่างประเทศจนกลายมาเป็นมาดามอเมลลิต้า
รามอสนั้น ท่านผู้หญิงฯ บอกว่าก็มีความแตกต่างกันบ้าง แต่ครอบครัวรามอสเป็นครอบครัวที่ไม่ชอบเป็นเป้าสายตาใครๆ
และก็มีวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยอิสระภาพเป็นตัวของตัวเอง
"เราอยู่ได้เพราะต้องเลี้ยงตัวเราเอง ดิฉันเคยเป็นครูที่โรงเรียนอเมริกันแห่งหนึ่ง
เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นแต่เป็นผู้อำนวยการที่ปรึกษา ดูแลเรื่องการสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ
ก็ต้องไปทำงานอาทิตย์ละ 3 วัน และก็ใช้จ่ายจากเงินเดือนที่ได้รับ"
ใครจะเชื่อบ้างว่าตำแหน่งสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศฟิลิปปินส์คนนี้ต้องหาเงินใช้เอง
เพราะติดนิสัยช่วยตัวเองมาตลอดจึงไม่อยากขอเงินจากใคร แม้แต่กระทั่งจากสามีของตัวเอง
"ดิฉันมีสำนักงานเล็กๆ ในทำเนียบ 'เฟิสต์เลดี้' ในพระราชวังมาลากันยังแต่เราพักอยู่ที่เกสต์เฮาส์ห่างจากนั่นนิดหน่อย
คุณรู้ไหม เรามีเจ้าหน้าที่ทำงานช่วยจัดเวลานัดหมาย และอื่นๆ 5 คนด้วยกัน
แต่เราไม่มีเงินจะจ่ายเงินเดือน เราจึงต้องหยิบยืมบางส่วนจากกระทรวงการต่างประเทศบางส่วนจากทำเนียบประธานาธิบดี"
ประธานาธิบดีฟิเดล วี รามอส ในชื่อเล่นว่า "เอ็ดดี้" ผู้มีอุปนิสัยขี้เล่น
ใจเย็น แต่มุ่งมั่นในการที่จะทำอะไรให้สำเร็จลุล่วงแล้วต้องทำให้ได้ สำหรับมาดามอเมลลิต้าแล้ว
ท่านประธานาธิบดีออกจะดื้อแม้อดข้าวเป็นวันๆ ก็ไม่ยอมหยุดงานที่คั่งค้าง
และนิสัยมุ่งมั่นนี้ก็มีผลถึงลูกๆ ผู้หญิงล้วนๆ ถึง 5 คนที่ล้วนแล้วมีครอบคัวทำงานทำการในด้านธุรกิจการเงิน
คนโตอาชีพโบรกเกอร์หาแหล่งลงทุน ถัดมาผู้จัดการการตลาดบริษัทสแทนดาล ถัดๆ
ไปผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารพี ซี ไอ และเจ้าหน้าที่ธนาคารซิตี้แบงก์ ส่วนคนสุดท้องก็เข้าไปอยู่ฝึกงานกับบริษัทน้ำดำโคคาโคล่า
เรื่องราวแต่หนหลังที่ทำให้มาดามรามอส อกสั่นขวัญแขวนเป็นที่สุดในชีวิต
คือช่วงที่สามีของเธอพร้อมพลพรรคประมาณ 300 คนตัดสินใจตีจากประธานาธิบดีมากอส
ที่มีกำลังเกือบทั้งกองทัพ ไปยืนเคียงข้างฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีมากอส ผู้ที่เธอบอกว่าไม่รู้จักคำว่า
"พอ" และครั้งนั้นเธอและครอบครัวรวมตัวกันอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงรถถังวิ่งใกล้เข้ามาพร้อมๆ
กับกลัวที่จะถูกกองทัพอากาศฝ่ายประธานาธิบดีมากอสถล่มบ้านเธอ เนื่องด้วยประธานาธิบดีมากอสต้องการให้สามีเธอยอมจำนน
"ครั้งนั้น ดิฉันจำเป็นต้องทำตัวให้กล้าหาญ เพื่อแสดงให้เด็กๆ เห็นว่าดิฉันไม่กลัว
จะได้ไม่ตื่นตระหนกตกใจ"
นอกจากครั้งนั้นแล้ว มาดามอเมลลิต้าบอกว่า ก็มีการปฏิวัติรัฐประหารถี่พอๆ
กับประเทศไทยถึง 7 ครั้งช่วงที่นางอาคีโนปกครองประเทศ
แม้จะดำรงตำแหน่งภริยาผู้นำประเทศอันดับหนึ่งไม่มีสอง จนถึงวันนี้เกือบ
3 ปีแล้วมาดาม อเมลลิต้าวัย 69 ก็บอกว่าเธอดำเนินชีวิตอย่างไม่เป็นที่ฮือฮา
ฟู่ฟ่าต่างจากสตรีหมายเลขหนึ่งในอดีต เป็นคนละรูปแบบกับนางอีเมลด้า มากอส
เธอจึงมีรองเท้าใส่ไม่ถึง 3,000 คู่อย่างนางอีเมลดา
"ดิฉันรู้จักมาดามมากอสดี แต่ไม่พยายามให้ความสนิทสนมนัก เธอมีกลุ่มที่เรียกว่า
'บลูเลดี้' คอยปรนนิบัติอยู่ เธอเคยสมัครเข้าแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งกับสามีฉัน
ตอนนี้เธอก็เข้าไปอยู่ในสภาหลังจากได้รับการสนับสนุนจากผู้คนที่บ้านเกิดของเธอ"
มาดามอเมลลิต้า รามอส แม้จะชอบที่นั่งห่างๆ จากการเมือง แต่ก็เข้าไปช่วยสามีในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างสรรค์สังคมฟิลิปปินส์ให้สะอาดหมดจดขึ้น
ที่สำคัญมาดามรามอสชอบต้นไม้ใบหญ้าเป็นชีวิตจิตใจ และตั้งเป้าชีวิตกันเหนียวหลังเกษียณ…ไปขายกล้วยไม้ดีกว่า