แกรมมี่เผยวิทยุลดฮวบ32%พึ่งเพลง-หนังทำรายได้กู้คืน


ผู้จัดการรายวัน(15 พฤศจิกายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

จีเอ็มเอ็มแกรมมี่เผย ธุรกิจเพลงและภาพยนตร์ ไปโลดส่งผลต่อผลประกอบการไตรมาสสาม รายได้รวม 1,601 ล้านบาท กำไร 73 ล้านบาท ส่วนวิทยุรายได้ลดฮวบ 32% คาดทั้งปีรายได้รวมทะลุ 6,000 ล้านบาท

นางบุษบา ดาวเรือง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม 1,601.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 73.1 ล้านบาทสำหรับสาเหตุที่ทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นมาจาก 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ เพลงและภาพยนตร์

โดยธุรกิจเพลงมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพลงและค่าลิขสิทธิ์ในไตรมาสนี้ จำนวน 696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจเพลงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ประมาณ 50% ของรายได้รวมของบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯยังคงได้รับผลดีอย่างต่อเนื่องจากการปรับโครงสร้างต้นทุนเพลงไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว โดยไตรมาสที่ 3 ได้ออกอัลบั้มใหม่ทั้งหมด 62 อัลบั้ม

“แกรมมี่ยังประสบความสำเร็จจากการนำศิลปินไปสร้างผลงานในต่างประเทศ เช่น การนำศิลปินดูโอ กอล์ฟ-ไมค์ ไปร่วมออกอัลบั้มกับ Yamashita ศิลปินวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงของค่ายเพลง Johny Junior ในประเทศญี่ปุ่น ในนามวง GYM ยอดจำหน่ายทั้งในญี่ปุ่นและไทย ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์แรกเกือบ 5 แสนแผ่น นอกจากนี้เรายังได้นำ จิม บริคแมน นักเปียโนที่มีชื่อเสียงก้องโลก มาเล่นเปียโนในอัลบั้มใหม่ล่าสุด ของใหม่ เจริญปุระ ด้วย”

นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯได้เน้นการขายเพลงผ่านช่องทางดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งถือเป็นช่องทางรายได้สำคัญของธุรกิจเพลง โดยทางแกรมมี่ได้ให้บริการดาวน์โหลดเพลงแบบเต็มเพลง หรือผู้บริโภคสามารถเลือกดาวน์โหลดเพลงแบบเต็มอัลบั้มผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ และทางอินเทอร์เน็ต ภายใต้ชื่อบริการ ikey การจัดให้มีบริการประเภท first load โดยผู้บริโภคสามารถเลือกดาวน์โหลดเพลงก่อนวางจำหน่ายบนแผงเทปได้ ซึ่งหลังจากเปิดตัวบริการ ikey ไปได้ประมาณ 1 เดือน มียอดดาวน์โหลดเข้ามามากกว่า 1 แสนโหลด

ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ ในไตรมาสที่ 3 แกรมมี่ประสบความสำเร็จกับภาพยนตร์ที่เข้าฉายทั้ง 3 เรื่อง คือ แก๊งชะนีกับอีแอบ โกยเถอะโยม และ Season Change ที่มี box office รวมแล้วประมาณ 200 ล้านบาท ทำให้รายได้จากภาพยนตร์และจากการผลิตภาพยนตร์โฆษณา มีรายได้ 125.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ด้านธุรกิจสื่อ ยังคงประสบความสำเร็จจากธุรกิจโทรทัศน์ ซึ่งมีรายได้ 238.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และธุรกิจการจัดกิจกรรมทางการตลาด โดยมีรายได้ 158.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับธุรกิจวิทยุ เนื่องจากบริษัทฯได้ลดจำนวนสถานีลง จาก 5 คลื่นเหลือ 4 คลื่น ทำให้รายได้จากธุรกิจวิทยุลดลงเหลือ 134.7 ล้านบาท ลดลง 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามผลของการปรับรูปแบบรายการคลื่นวิทยุทั้ง 4 คลื่น ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา เริ่มจะส่งสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เรตติ้งในแต่ละรายการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ EFM 94.0 FM และ HOT WAVE 91.5 FM

“สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้าย เรายังคงเน้นธุรกิจเพลงเป็นหลัก โดยจะมีอัลบั้มใหม่ของศิลปินดังๆ ออกวางตลาดในช่วงปลายปีนี้ เช่น บิ๊กแอส , บอย พีช เมกเกอร์ และแคลช เป็นต้น โดยคาดว่ารายได้ทั้งปีของกลุ่มบริษัทแกรมมี่ จะมากกว่า 6,000 ล้านบาท” นางบุษบากล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.