|

ตลท.ยันจับตาหุ้นปกติย้ำตรวจสอบหุ้นเก็งกำไรไม่มี2มาตรฐาน
ผู้จัดการรายวัน(13 พฤศจิกายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลท.ระบุภาวะการซื้อหุ้นที่ซบเซาไม่ได้เกิดจากการเข้าไปตรวจสอบหุ้นเก็งกำไรชี้ที่ผ่านมาดำเนินการอย่างระมัดระวัง พร้อมย้ำการดำเนินการยังเป็นปกติเหมือนเดิม และใช้มาตรฐานเดียวกัน ไม่มีสองมาตรฐาน ด้าน"ธีระชัย" เผยสุ่มเลือกบจ.ตรวจงบการเงินรายไตรมาส หากพบความปกติเรียกชี้แจงทันที ระบุถ้าพบความผิดพร้อมดำเนินการเด็ดขาด
นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่ได้ชะลอการซื้อขายหุ้น เพราะไม่พอใจกับการที่ตลาดหลักทรัพย์ได้เข้าไปตรวจสอบหุ้นเก็งกำไรหลายบริษัทจนทำให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ลดลงนั้นว่าเชื่อว่าการที่การตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายแต่อย่างใดซึ่งมองว่าการที่มูลค่าการซื้อขายลดลงเพราะนักลงทุนชะลอการซื้อขายมาจากปัจจัยโดยรอบที่ไม่มีความชัดเจนมากกว่า
ทั้งนี้การดำเนินการตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์ก็ยังดำเนินการตรวจสอบตามปกติและดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายโดยรวมซึ่งจะเห็นได้ว่าการเข้าไปตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์ก็จะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลแต่อย่างใด ซึ่งการทำงานของตลาดหลักทรัพย์จะมีมาตรฐานเดียว ไม่มีสองมาตรฐานแต่อย่างใด และไม่ได้มุ่งจับผิดนักลงทุนรายใด รวมถึงมาตรการการสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading)ในหุ้นที่ราคาเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็ยังเหมือนเดิม
"การตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์จะดูจากพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนจะไม่ได้ดูว่านักลงทุนนั้นเป็นใครมีอาชีพอะไรเป็นนักการเมืองหรือไม่ ซึ่งมองว่านักการเมืองก็เป็นนักลงทุนทั่วไปโดยการทำงานของตลาดถ้าตรวจพบว่ามีพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติเข้าข่ายที่กำหนดไว้ จึงจะเข้าไปดูว่านักลงทุนรายนั้นเป็นใครซึ่งก็จะมีการขอข้อมูลจากโบรกเกอร์ต่อไปด้วย"นายสุภกิจกล่าว
ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวต่อว่า เรื่องที่มีการตรวจสอบในปีนี้และได้นำส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) พิจารณาต่อไปนั้นมีจำนวนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยโครงสร้างความผิดที่พบส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องเดิม ๆ คือการสร้างราคาหุ้น และการใช้ข้อมูลภายใน(อินไซด์)เพื่อเอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เปิดเผยว่า การตรวจสอบงบการเงินของสำนักงานก.ล.ต.จะมีการสุ่มเลือกบริษัทจดทะเบียนในแต่ละไตรมาสซึ่งถ้าตรวจสอบพบว่ามีงบการเงินของบริษัทใดที่มีประเด็นที่น่าสงสัยก็จะให้บริษัทได้ทำการชี้แจงมายังสำนักงานหลังจากนั้นก็จะดูว่าชี้แจงนั้นมีความชัดเจนและมีเหตุผลที่เหมาะสมหรือไม่ซึ่งถ้ามีความชัดเจนก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่ถ้าคำชี้แจงไม่ชัดเจนสำนักงานก.ล.ต.ก็จะเข้าไปตรวจสอบในเชิงลึกต่อไปซึ่งถ้าตรวจสอบแล้วพบว่ามีกระทำที่เข้าข่ายผิดกฏหมายก็จะมีการปรึกษาอัยการที่สำนักงานเชิญมาเป็นที่ปรึกษาว่าจะดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายได้หรือไม่ถ้าได้ก็จะกล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอต่อไป
ทั้งนี้จากการสุ่มตรวจของสำนักงานก.ล.ต.จะพบว่ามีงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนที่น่าสงสัยไม่มากนัก คาดว่าคงจะไม่ถึง 10 บริษัท ซึ่งแนวทางป้องกันนั้นสำนักงานก.ล.ต.ได้ร่วมกับสภาวิชาชีพบัญชีเพื่อสนับสนุนมาตรฐานการบัญชีเพื่อให้เป็นสากลรวมถึงการตีความมาตรฐานบัญชีให้มีความชัดเจนรวมถึงการลงโทษผู้สอบบัญชีที่กระทำผิดอย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าผู้สอบบัญชีอาจจะได้รับข้อมูลต่างๆ ที่ไม่ครบถ้วนก็ได้
ส่วนกรณีของบริษัทเพาเวอร์-พี จำกัด(มหาชน)หรือ POWER ที่สำนักงานก.ล.ต.ได้กล่าวโทษ 3 ผู้บริหารและผู้สนับสนุนอีก 1 คนต่อดีเอสไอนั้นเนื่องจากได้ไปตรวจสอบพบว่างบการเงินมีข้อน่าสงสัยจึงได้ให้มีผู้สอบบัญชีพิเศษให้ไปตรวจสอบ ซึ่งก็พบว่าผิดปกติดังกล่าวซึ่งขณะนี้ก็ขึ้นอยู่กับดีเอสไอว่าจะดำเนินการต่อไป
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|