PREBเก็บงานในมือปีนี้1.2พันลบ.เล็งประมูลเพิ่มอีกพันล้านรู้ผลปี50


ผู้จัดการรายวัน(8 พฤศจิกายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

PREB เผยขณะนี้มี backlog ในมือแล้วกว่า 1,100 ล้านบาท คาดสิ้นปีทะลุ 1,200 ล้านบาท ขณะเดียวกันเล็งเข้าประมูลงานเพิ่มอีกกว่า 1,000 ล้านบาท และจะรู้ผลตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงต้นปี 50 พร้อมแสดงความมั่นใจสถานการณ์ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 50 ดีขึ้น จากการเติบโตของ จีดีพี ที่คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปี 49 ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้รับเหมาทั้งระบบ

นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด(มหาชน) (PREB) กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้มีนโยบายปรับทิศทางธุรกิจด้วยการหันไปรับงานและประมูลงานก่อสร้างนอกเหนือจากงานของ บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ในขณะนี้บริษัทได้มีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,100 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่เพิ่งจะเซ็นสัญญาล่าสุดมี 4 โครงการ คือ โครงการ Club House ประชาชื่น ของ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ระยะเวลาก่อสร้าง 11 เดือน โครงการ Millennium Hotel Carpark Building สุขุมวิท 23 ของ Fena Estate Co., Ltd. ระยะเวลาก่อสร้าง 8 เดือน โครงการก่อสร้างอาคารของ Mahamukud University พุทธมณฑล สาย 5 ระยะเวลาก่อสร้าง 600 วัน และโครงการ Condominium 79 units ทองหล่อ 20 ของบริษัท Dalvey Residence Co., Ltd. ระยะเวลาก่อสร้าง 12 เดือน

อย่างไรก็ดี การเดินหน้ารับงานอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะมีงานในมือเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ล้านบาท ซึ่งงานในมือที่เพิ่มขึ้นมานี้คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงปี 2550 ตามระยะเวลาก่อสร้างที่ระบุไว้ นอกจากนั้น หลังจากนี้จะเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มอีกติดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นอพาร์ทเมนต์จำนวน 5-6 อาคารมูลค่ากว่า 600 ลบ.และเป็นงานอาคารสูงอีก 2 อาคาร มูลค่ากว่า 400 ลบ. คาดว่าจะรู้ผลภายในสิ้นปีนี้และบางโครงการจะรู้ผลภายในต้นปี 2550

สำหรับ ทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะขยายตัวดีขึ้นในปีหน้าเชื่อว่าจะทำให้การก่อสร้างของทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่จะทำให้มีงานเข้ามาในมือมากขึ้น หลังจากหลายโครงการชะลอการก่อสร้างเพราะรอความชัดเจนเรื่องการเมืองและนโยบายของภาครัฐในช่วงก่อนหน้านี้

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า หลังจากที่บริษัทปรับแผนหันมารับงานอื่นนอกเหนือจากการก่อสร้างบ้านและทาวน์เฮาส์ และหันมารับงานจากภาครัฐบาลเพิ่มขึ้นนั้น คาดว่า หลังจากนี้สัดส่วนงานภาครัฐจะเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 30 %ของรายได้รวม ในขณะที่สัดส่วนของงานก่อสร้างบ้าน-ทาวน์เฮาส์เหลือเพียง 30-40% ส่วนการรับงานในกลุ่มอาคารสูง-โรงงานอุตสาหกรรมและอื่นๆ จะเพิ่มเป็น 60-70%ในอนาคต ซึ่งจะทำให้มีรายได้ใหม่เข้ามาทดแทนรายได้เดิมได้เป็นอย่างดี สามารถลดความเสี่ยงจากการมีลูกค้าเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งถือเป็นผลดีต่อบริษัทฯในอนาคต

ขณะที่รายได้ในปี 2549 ยอมรับว่าหลังจากได้ปรับประมาณการรายได้ปีนี้เป็นแบบ Conservative เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากความอึมครึมและความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนทำให้ภาคการลงทุนใหม่ๆ ชะลอตัวลงทั้งในส่วนภาครัฐและเอกชนนั้น คาดว่ารายได้จะใกล้เคียงจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 2 พันกว่าล้านบาทได้

“แม้รายได้จะ Conservative แต่ภาพรวมธุรกิจก็ยังขยายตัวได้ เพราะเรามี Backlog เข้ามาต่อเนื่องทำให้สามารถทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะจะเห็นได้ชัดตั้งแต่ปีหน้า จากทั้งงานในมือเดิมและงานที่จะเข้ามาใหม่” นายวิโรจน์ กล่าวในที่สุด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.