|
“บีพีบี”เดินหน้าขยายตลาดหวังกินรวบทุกเซกเมนต์
ผู้จัดการรายสัปดาห์(6 พฤศจิกายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
“ไทยผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม”ประกาศลุยตลาดกลาง-ล่าง หลังตลาดบนชะลอตัว ส่งระบบฝ้าเพดานทีบาร์Slim Gridและแผ่นเพดานยิปซัมทาสีสำเร็จรูปSlim D?cor ลงสนาม ตั้งเป้าโกยรายได้ปีนี้ 3,000 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดวัสดุในปี2549 เริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น จากการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงตลาดส่งออกที่มีอัตราเติบโตตาม ทำให้ทิศทางการเติบโตของวัสดุตกแต่งตามพลอยเติบโตตามไปด้วย
บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายฝ้าเพดาน-ผนังยิปซั่ม ซึ่งนอกจากครองความเป็นหนึ่งในตลาดวัสดุฝ้า-เพดานซึ่งเป็นวัสดุตกแต่งบ้านระดับบนแล้ว ยังเห็นโอกาสในการขยายตลาดระดับกลาง-ล่าง เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และยังไม่มีผู้ผลิตรายใดลงมาผลิตสินค้าที่มีคุณภาพอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ในตลาดมีผู้ผลิตสินค้าหลายรายแต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าโนเนมไม่ได้มาตรฐาน
ชัยฤทธิ์ สังสิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า บริษัทได้ทำการสำรวจปัญหาของผู้ใช้ฝ้าเพดานที่เป็นไฟเบอร์บอรด์ว่าหลังการติดตั้งไปแล้วจะมีฝุ่นร่วงลงมาทำให้ผู้ที่อยู่ในบ้านสูดฝุ่นละอองเกิดโรคหืดหอบ โรคภูมิแพ้ ดังนั้น บริษัทจึงคิดค้นฝ้าเพดานที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยใช้เวลาในในการศึกษาและออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่กว่า1 ปี คือ ระบบฝ้าเพดานทีบาร์Slim Gridและแผ่นเพดานยิปซัมทาสีสำเร็จรูปSlim D?cor ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุด
โดย ฝ้าเพดานทีบาร์Slim Grid หรือโครงคร่าวทีบาร์ มีลักษณะหน้าตัดเล็กขนาด 15 มิลลิเมตร ติดตั้งง่าย แต่มีราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปราว 5-10% โดยโครงคร่าวทีบาร์ จะราคา 40 บาทต่อเส้น ขณะที่สินค้าทั่วไปราคา 36-37 บาทต่อเส้น โดยเหตุผลที่สินค้าของบริษัทแพงกว่าราคาท้องตลาด เนื่องจากเป็นสินค้าที่ผลิตได้มาตรฐานและมีขนาดเล็ก ติดตั้งง่าย ไม่จำเป็ฯต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม เช่น โครงคร่าวทีบาร์ของบริษัทจะมีตัวล็อคอัตโนมัติ ขณะที่ของท้องตลาดผู้ซื้อจะต้องซื้อกิ๊บล็อกมาติดต่างหากและหากต้องการแก้ไขก็ต้องแก้ทิ้งแล้วซื้อตัวใหม่
ส่วนแผ่นเพดานยิปซัมทาสีสำเร็จรูปSlim D?cor มีความหนา 7 มม. น้ำหนักเบา ติดตั้งง่ายและไม่เป็นเชื้อรา ราคาแผ่นละ 15 บาท ซึ่งลดลงจากเดิมที่ขายแผ่นละ 17 บาท
“ทั้งนี้เหตุผลที่บริษัทลงไปเจาะตลาดกลาง-ล่างมากขึ้น ก็เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าระดับดังกล่าวให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยภายใน 3 เดือนแรกจากการเปิดตัว ตั้งเป้าจะมีมาร์เก็ตแชร์ตลาดประมาณ10% จากเดิมที่มีมาร์เก็ตแชร์ตลาดอยู่ประมาณ 5% จากยอดขายโครงคร่าวทีบาร์และฝ้าเพดานหรือ เฉลี่ยปีละ 3-4 แสนตารางเมตร และภายใน 1 ปี จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น30-40% จากตลาดรวม 17 ล้านตารางเมตร ”
โดยโครงคร่าวทีบาร์สลิมกริดและสลิมเดคอร์ นั้นส่วนใหญ่บริษัทจะขายผ่านดีลเลอร์ เน้นโครงการบ้านจัดสรรและทาวเฮาส์ระดับ B-C ทั่วประเทศ และเจ้าของบ้านหรือช่างยิปซัมที่เน้นความสวยงาม แข็งแรง ซึ่งจะเน้นเจาะตลาดตามหัวเมืองใหญ่ๆ ใน 15 จังหวัด เช่น เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น และหาดใหญ่ เป็นต้น
สำหรับมูลค่าตลาดรวมของโครงคร่าวทีบาร์ มีมูลค่าตลาดรวม30-40 ล้านบาทต่อปี หรือ 17 ล้านตารางเมตร ซึ่งนับเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีปริมาณการใช้งานต่อปีค่อนข้างสูง แต่สินค้าที่ได้รับการรับประกันมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) หรือสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตราฐานะในประเทศไทยมีอยู่เพียง 50% เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มสินค่าที่ไม่ได้มาตรฐาน และคุณภาพการใช้งานที่ต่ำ
โดยแบ่งเป็นดเหล็กอละอลูมิเนียม คือ สินค้าที่ผลิตจากเหล็กที่ส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 8.8 ล้านตารางเมตรหรือ 52% และสินค้าที่ผลิตจากอลูมิเนียมมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8.2 ล้านตารางเมตรหรือ 48% ของปริมาณการใช้ในตลาดรวม แบ่งกลุ่มลูกค้า ประเภทที่อยู่อาศัย 64%ของตลาดรวม หรือมีปริมาณการใช้งานราว 11 ล้านตารางเมตรต่อปี กลุ่มซ่อมแซมและเชิงพาณิชย์ 21% หรือมีปริมาณการใช้งาน 3.6 ล้านตารางเมตรต่อปีและ กลุ่มลูกค้าประเภทอาคารสูงและอาคารพาณิชย์15% หรือมีปริมาณการใช้งาน 2.5 ล้านตารางเมตร ต่อปี
ส่วนเป้ารายได้ทั้งปีตั้งไว้ที่ 3,500 ล้านบาท มาจากการขายในประเทศ 80% และส่งออก 20% ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทจะมียอดขายเติบโตอยู่ประมาณ 7-8% แต่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ว่าจะขยายตัว 10-15% เนื่องจากสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัวทำให้บริษัทต้องเพิ่มการส่งออกเป็น 50% จากเดิมส่งออก 20% โดยบริษัทยังคงเน้นขยายตลาดไปยังโซนเอเชีย ตะวันออกกลาง นิวซีแลนด์ ส่วนตลาดใหม่นั้นมีตลาดทางยุโรปที่เข้ามาเจรจาสั่งสินค้ากับบริษัท แต่ทั้งนี้บริษัทไม่ได้สนใจมากนัก เพราะตลาดฝั่งยุโรปนั้นก็มีสาขาของบีพีบีอยู่แล้ว บริษัทจึงเน้นตลาดทางเอเชียมากกว่า
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|