|
"ประชัย"ทุ่ม6หมื่นล้านซื้อหุ้น"ทีพีไอ"คืนจากปตท.+พันธมิตร60%
ผู้จัดการรายวัน(2 พฤศจิกายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" ลั่นขอซื้อหุ้น "ทีพีไอ" คืนจากกลุ่มปตท.และพันธมิตร ที่ถืออยู่ในสัดส่วน 60% ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท ประเมินจะใช้เงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท พร้อมวอน"หม่อมอุ๋ย" นำเรื่องเข้าที่ประชุมรัฐมนตรี ส่วนปัญหาการเช่าตึกทีพีไอทาวเวอร์ ระหว่างทีพีไอกับพรชัยวิสาหกิจยืนยันทำอย่างถูกต้อง ขู่ฟ้องกลับดีเอสไอ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหากไม่ถอดฟ้อง
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เปิดเผยว่า การเข้ามาถือหุ้นบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกบข. ธนาคารออมสินและกองทุนวายุภักษ์ 1 สัดส่วนรวม 60% ถือว่าเป็นการเข้ามาในลักษณะที่ไม่สุจริต ดังนั้นจำเป็นจะต้องขายหุ้นคืนให้กับตนทั้งหมด
ทั้งนี้ ในเรื่องดังกล่าวขอเสนอให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ดูแลโดยตรงนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติและมีคำสั่งให้กลุ่มปตท. และพันธมิตรขายหุ้นในสัดส่วนที่ซื้อไปออกมาทั้งหมด ในราคาที่หุ้นละ 3.30 บาท ซึ่งเป็นราคาที่กลุ่มปตท.และพันธมิตรเข้ามาซื้อหุ้นทีพีไอ
"ผมพร้อมจะเข้าไปรับซื้อหุ้นคืนจากกลุ่มปตท.และพันธมิตรทั้งหมด หากมีครม.มีคำสั่งออกมา โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินซื้อหุ้นทีพีไอคืนครั้งนี้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท"
นายประชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนเรื่องที่มีการแจ้งขายหุ้นทีพีไอในกระดานเพิ่มกว่า 2 พันล้านหุ้น สาเหตุมาจากหุ้นดังกล่าวถูกนำไปใช้ค้ำประกันเงินกู้ที่กู้ยืมกับสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันต่ำกว่ามูลค่าประกันเจ้าหนี้จึงต้องมีการบังคับให้มีการจำนองหลักทรัพย์ที่ใช้วางค้ำประกันดังกล่าวนั้น โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ต้องการที่จะขายหุ้นในส่วนดังกล่าวออกมา
"ผมไม่ได้ต้องการขายหุ้นออกมาเพิ่ม แต่หลักทรัพย์ที่เราไปวางค้ำประกันมันต่ำกว่าหลักทรัพย์ที่จะต้องวางค้ำประกัน เจ้าหนี้เลยมีการบังคับขายหรือให้จำนองหลักทรัพย์" นายประชัย กล่าว
***ขู่ฟ้องกลับดีเอสไอ
นายประชัย กล่าวต่อถึงสำหรับกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไป ส่งฟ้องตนและ 3 ผู้บริหารประกอบด้วยนายประทีป เลี่ยวไพรัตน์ นายประมาณ เลี่ยวไพรัตน์ และนายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ ในความผิดอันทำให้เกิดการเสียหายต่อTPI กรณีการทำสัญญาเช่าอาคารระหว่างบริษัททีพีไอ กับบริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัดนั้น นายประชัย กล่าวว่า ดีเอสไอควรจะดำเนินการเพื่อถอนฟ้องคดีดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้เป็นการกระทำผิด และได้มีการยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่ปี 2538 แล้ว ซึ่งหากดีเอสไอไม่ถอดฟ้อง ตนและผู้บริหารที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาจะดำเนินการฟ้องกลับในข้อหาเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฎิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ การเช่าอาคารทีพีไอทาวเวอร์ โดยกำหนดให้ต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเวลา 90 ปีเพื่อให้บริษัทมีสิทธิเช่าอาคารในอัตราค่าเช่าประมาณ 37บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน โดยหากคำนวณผลตอบแทนค่าเช่าล่วงหน้าในอัตรา 5.5% ต่อปี จะทำให้อัตราค่าเช่าอยู่ที่ 186.18 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำกว่าอัตราค่าเช่าในบริเวณใก้เคียง
"ดีเอสไอ ควรจะถอดฟ้องในกรณีดังกล่าวเพราะถือว่าเป็นการกลั่นแกลังทางการเมืองซึ่งหากไม่ถอดฟ้องเราจะฟ้องกลับทันที ที่สำคัญการทำสัญญาเช่าตึกเกิดขึ้นมาเมื่อกว่า 10 ปีแล้วสมัยนั้นนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้บริหารแผนทีพีไอยังอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการก.ล.ต.อยู่ และก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรเราหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายด้วยดี" นายประชัย กล่าว
**เปลี่ยนชื่อ TPI เป็น IRPC
ด้านนายปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI ครั้งที่ 2/2549 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2549 มีมติอนุมัติให้ เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)เป็น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) นั้น
ขณะนี้ บริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนต่อนายทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงชื่อเป็น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เสร็จสิ้นแล้วเมื่อ วันที่ 31 ตุลาคม 2549 และเปลี่ยนแปลงชื่อย่อในระบบการซื้อขายหลักทรัพย์จาก TPI เป็น IRPC
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|