'ไมเนอร์ กรุ๊ป' ลับคมแฟรนไชส์ตั้งเป้าปี ’50 โต 1,200 ล้านบาท


ผู้จัดการรายสัปดาห์(30 ตุลาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ในช่วงเดือนตุลาคม เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ได้จัดประชุมผู้ประกอบการแฟรนไชส์ทั่วประเทศภายใต้แบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนีและสเวนเซ่นส์ เพื่อส่งเสริมและวางแนวทางการพัฒนาธุรกิจให้กับแฟรนไชซีกว่า 100 คน จาก 70 สาขาทั่วประเทศ

เพิ่มองค์ความรู้ยอดโตก้าวกระโดด

กุลวัฒน์ วิชัยลักษณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจแฟรนไชส์ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2550 ตั้งเป้ายอดรายได้รวมแฟรนไชส์ที่ 1,200 ล้านบาท จากปี 2549 ประมาณการณ์รายได้รวมแฟรนไชซีที่ 800 ล้านบาท แต่การที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายได้นั่นการดำเนินงานต้องประสานและเป็นหนึ่งเดียวกันกับแฟรนไชซี ซึ่งบริษัทเล็งเห็นว่าแฟรนไชส์เป็นตัวผลักดันธุรกิจของบริษัทในภาพรวม และการจัดประชุมใหญ่ในครั้งนี้ จึงเป็นการเตรียมความพร้อมแฟรนไชซี

"ทหารก่อนออกรบต้องมีการฝึก ใช้อาวุธที่มอบให้"

ซึ่งการเป็นแฟรนไชซีของไมเนอร์ กรุ๊ป จะต้องให้การฝึกอบรมเหมือนกับพนักงานของบริษัทเอง เริ่มพื้นฐานตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย จนสามารถบริหารจัดการร้านได้ และเน้นที่เจ้าของธุรกิจต้องลงมาฝึกเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่จะตามมา เพื่อเรียนรู้และผลักดันธุรกิจ และเน้นการฝึกอบรมอย่างมาก เริ่มต้นประมาณ 2 เดือนเปิดแล้วเยี่ยมร้านสาขาทุกเดือน ทั้งการตลาด การปฏิบัติการในร้านในแต่ละสาขาแต่ละพื้นที่และการจัดประชุมครั้งนี้นั้น ได้เพิ่มองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการต้นทุน (Cost Management) และการบริหารการจัดการบุคลากร (People Management) และกิจกรรม “Clinic Sessions” เพื่อให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชซี โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ Marketing Finance Logistic Supply Chain และ Human Resource&Training

"ซึ่งการประชุมสัมมนานี้จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจแฟรนไชส์ให้เติบโตและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น จะเห็นว่านโยบายของบริษัทไม่ใช่ยอดจำนวนแฟรนไชซี แต่ต้องการเห็นแฟรนไชซีประสบความสำเร็จและเติบโตกับเรา"

กุลวัฒน์ ยอมรับว่า ปัจจุบันตลาดการแข่งขันค่อนข้างสูงแต่อย่างไรก็ตามบริษัทมียุทธวิธีการบุกตลาด ทำตลาด และแต่ละพื้นที่มีการวางกลยุทธ์เจาะให้ถึงพื้นที่เป้าหมาย การประชุมสัมมนาใหญ่แต่ละปีจึงเหมือนเพิ่มความเข้มข้นองค์ความรู้ใหมากยิ่งขึ้นและโดยเฉพาะในปีที่ 2 นี้หัวข้อเข้มข้นเน้นการปฏิบัติซึ่งต่างจากปีที่ผ่านมา

ชูนโยบาย 'ไฮเนคกี้' คนสร้างแบรนด์

กุลวัฒน์ กล่าวว่า ประธานไมเนอร์ กรุ๊ป กล่าวไว้ว่า “ คนเป็นคนสร้างแบรนด์ แต่แบรนด์ไม่ได้สร้างคน ฉะนั้นคำว่าเถ้าแก่จึงเริ่มเข้ามา การที่จะให้เจ้าของมาเป็นผู้ช่วยบริหารผลักดันธุรกิจจึงได้เกิดขึ้น นั่นคือความสำเร็จ” ซึ่งเป็นนโยบายบริษัทเช่นกันกับการเติบโตในรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งภายใน 3-5 ปีนับจากนี้ สัดส่วนการเติบโตของแฟรนไชส์จะต้องเป็น 60% บริษัทแม่ 40% จากปัจจุบันบริษัทแม่ 60% แฟรนไชส์ 40%

"ไม่ว่าที่ไหนเราก็เปิดได้ เพราะบริษัทมีศักยภาพ แต่เราต้องการให้คนในพื้นที่ ที่มีคอนเน็คชั่น มีแรงผลักดัน ซึ่งจะเป็นเถ้าแก่ มาเป็นแรงผลักดันธุรกิจเรา ไมเนอร์ต้องการสร้างเถ้าแก่ นอกจากลดคอร์ส คือถ้าคุณเป็นเจ้าของ คนลงเงิน แรงผลักดันจะมากกว่าจ้างพนักงานไปทำตรงนั้น เราเจ้าของเงินบี้กันสุดฤทธิ์ และผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้มากกว่า"

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจ ระบบงานแฟรนไชส์จึงสมบูรณ์แบบ ซึ่งเขาเปรียบว่าธุรกิจแฟรนไชส์เหมือนไปซื้อธุรกิจที่สามารถพิสูจน์ว่ามีระบบที่จะสามารถทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ ซื้อไปแล้วคุณภาพบุคลากร ต้องใช้เวลาในการพัฒนา มีประสบการณ์ความรู้ ความสามารถเท่าเทียมกับพนักงานบริษัทแม่นี่คือจุดแตกต่าง

จากการปลุกปั้นแบรนด์ของไมเนอร์ กรุ๊ป ทำให้โปรดักส์แต่ละตัวประสบความสำเร็จ จะเห็นว่าในภาวะเศรษฐกิจไม่ส่งผลกระทบต่อยอดของผู้ต้องการลงทุนแต่อย่างใด ทั้งนี้ กุลวัฒน์ บอกว่า ความต้องการเข้ามาลงทุนกับไมเนอร์ กรุ๊ป สูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งตรงข้ามกับจำนวนพื้นที่ที่ค่อนข้างเต็ม ขณะที่ต่างจังหวัดนั้นในบางพื้นที่มีความต้องการการลงทุนแต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงตลาดและกำลังซื้อในพื้นที่เป็นส่วนประกอบด้วย

และปัจจุบันพบว่าความต้องการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการรุ่นใหม่สูงมากขึ้น ปัจจัยจากผู้ปกครองการการให้บุตรหลานมีธุรกิจของตนเอง มองหาธุรกิจที่มั่นคงในระยะยาว และกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่นั้น บริษัทค่อนข้างเลือกพูดคุยจนเกิดความมั่นใจได้ว่า พวกเขาต้องการเห็นอนาคตที่เติบโตไปพร้อมๆกับบริษัท

ขณะเดียวกันการรับรู้ของผู้ประกอบการไทยกับระบบแฟรนไชส์มีการพัฒนาไปมาก รู้และเข้าใจระบบการค้าบริหารจัดการร่วมกัน สิ่งที่บริษัทเติมไปให้วิธีการปฏิบัติของตัวบริษัท เพราะโอเปอเรชั่นธุรกิจคนละอย่าง วิธีการดูแลคิดคำนวณต้นทุนสินค้า

เปิดแผนระยะยาว ย้ำผู้นำธุรกิจร้านอาหาร

กุลวัฒน์ กล่าวว่า เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้เปิดตัวเมื่อ พ.ศ. 2544 และ 2545 ได้เริ่มขายแฟรนไชส์ ส่วนซเวนเซ่นส์ ขายแฟรนไชส์เมื่อปี 2546 สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมาของทั้ง 2 แบรนด์ รวมกันแล้วมีสาขากว่า 70 แห่ง แบ่งเป็น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี มีสาขา 31 สาขา และ สเวนเซ่นส์ 39 สาขา

ซึ่งอัตราการเติบโตของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในปีนี้โตกว่า 500 ล้านบาทเพิ่มจากปีที่แล้วอยู่ที่ 350 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ส่วนสเวนเซ่นส์ ปีที่แล้วโต 155 ล้านบาท ปีนี้โตมากกว่า 330 ล้านบาทอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% คาดการณ์ว่าในปี 2550 การเติบโตจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้คือ 1,200 ล้านบาทกับจำนวน 100 กว่าสาขาทั่วประเทศ

กับแผนระยะยาวนั้น การเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขยายสาขาทั้งในส่วนของบริษัทและสาขาแฟรนไชส์ โดยเฉพาะสัดส่วนสาขาแฟรนไชส์นั้นศักยภาพพื้นที่และผู้ลงทุนในต่างจังหวัดสูงมาก

จะเห็นว่าแฟรนไชส์ 70% อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดทั้ง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี และสเวนเซ่นส์ และยังมีโอกาสการเติบโตได้อีกมาก จากศักยภาพของตลาดต่างจังหวัด เพราะเป็นตลาดใหม่ ที่ตื่นตัวกับสินค้า ตื่นตัวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ประกอบกับคู่แข่งค่อนข้างน้อย ฉะนั้นการผลักดันสิ่งเหล่านี้จะง่าย และคนต่างจังหวัดรู้จักผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผ่านสื่อที่ทั่วถึง

กุลวัฒน์ กล่าวถึงความสำเร็จในวันนี้ของไมเนอร์ กรุ๊ป ว่า

"ทุกคนเชื่อในเดอะไมเนอร์กรุ๊ป ชื่อของเรา ผู้บริหารของเรา เป็นที่มั่นใจของคน ปัจจัยต่อมา แบรนด์ที่เรามีเป็นรีดเดอร์ในแต่ละมาร์เก็ต ในแต่ละเซ็คเม้นท์ การที่จะซื้อแบรนด์มีการดูแลหลังการขายตลอดระยะสัญญา และนึกอยู่เสมอว่าเราไม่ใช่ผู้รู้ตลอดเวลา พันธมิตรที่อยู่ในพื้นที่ บางครั้งมีข้อแนะนำดีๆให้กับเรา เหมือนแชร์กันได้ตลอดเวลา เหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจของความสำเร็จ"

เชื้อเพลิงกับเครื่องจักร มุ่งสู่ความมั่งคั่ง...

เรามาเรียนรู้สู่ความมั่งคั่ง เราเปรียบเสมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ลูกค้าเป็นเชื้อเพลิงส่วนเราเป็นเครื่องจักร และเมื่อคู่กันแล้วเราก็สามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เพื่อไปกอบโกยความมั่งคั่ง แต่ต้องพึงระลึกเสมอว่าเราเป็นพันธมิตรหรือเป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกัน

ไมเนอร์มุ่งมั่นที่จะทำให้ธุรกิจ หุ้นส่วนเติบโตเชิงรุก เราจะเป็นผู้ดูแลการทำงานในธุรกิจของท่านให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นเหมือนกับเครื่องยนต์ที่แล่นไปอย่างนุ่มนวล ในขณะเดียวกันยังเป็นพันธมิตรเป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกันปรารถนาที่จะเห็นการเติบโตและกำไรของท่าน

การแข่งขันนี้นับวันก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และความสำเร็จนี้จะมาสู่เฉพาะผู้ที่ขยันและฉลาดเท่านั้น ควบคู่กัน เราต้องเป็นอันดับหนึ่งของผู้ที่นิยมทานพิซซ่าและสเวนเซ่นส์ เราต้องเป็นสินค้าที่มอบความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคมากที่สุด

ซึ่งความคุ้มค่านี้ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต้องต่ำที่สุดเสมอไป เราให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าเป็นอันดับหนึ่ง และที่สำคัญเราจะต้องรักษาคุณภาพตลอดเวลาไม่มีอะไรมาขวางทางในเรื่องคุณภาพของเรา และคุณภาพของเราจะต้อง 100% ในแง่ความพึงพอใจของผู้บริโภค

เราตระหนักและให้ความสำคัญถึงบุคลากร หุ้นส่วนของเราและผู้นำของเรา หรือผู้ที่ทำงานในร้านของเราคือผู้ที่นำเสนอสินค้าของเราให้แก่ลูกค้าอยู่ทุกวัน พวกเขาเหล่านี้คือส่วนสำคัญที่จะทำให้เราคงความเป็นที่ 1 และเราเชื่อมั่นว่าพวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่จะนำเราไปสู่ความมั่งคั่ง


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.