'บีพีบี'ส่งสลิมกริด-สลิม เดคอร์”เจาะกลุ่มที่อยู่อาศัยทุบตลาดฝ้าเพดานคุณภาพต่ำ


ผู้จัดการรายวัน(26 ตุลาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

“บีพีบี”เปิดตัว “สลิมกริด-สลิม เดคอร์” เจาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัย ทุบตลาดสินค้าระบบฝ้าเพดานโครงคร่าวไม่ได้มาตรฐาน ระบุ 50% ในตลาดเป็นสินค้าคุณภาพต่ำไม่มี มอก.รับรอง พร้อมตั้งเป้า 3เดือนแรกแชร์ตลาด10% ระบุระยะ1ปี เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม30-40% จากตลาดรวม 17ล้านตร.ม. เผยยอดสั่งผลิตหลังเปิดตัว1เดือนกว่าแสน ตรม. แจงดอกเบี้ย น้ำมัน การเมือง ทำตลาดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในประเทศชะลอตัว ส่งผล”บีพีบี” ปรับตัวส่งออกเพิ่มเป็น50% จากเดิม20% คาดสิ้นปีรายได้ตามเป้า 3,500 ล้านบาท

นายชัยฤทธิ์ สังสิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ ยิปซั่ม จำกัด (มหาชน) (บีพีบี) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นระบบฝ้าเพดานโครงคร่าวทีบาร์ สลิมกริด ซึ่งผลิตจากเหล็กชุบสังกะสี และ สลิมเดคอร์ ระบบฝ้าเพดานที่มีขนาดบาง 7 มิลลิเมตร ในงานสถาปนิกสยาม โดย บีพีบี ได้เริ่มทำตลาดมาแล้ว1เดือน ขณะนี้บริษัทมียอดสั่งผลิตแล้ว 1 แสนตารางเมตร และคาดว่าจะในระยะ3 เดือนจากนี้จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดรวมได้เพิ่มอีก 10% หรือประมาณ 3-4 แสน ตารางเมตร จากเดิมที่ขณะนี้มีแชร์ตลาดอยู่ประมาณ 5% ส่วนในระยะ1 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีแชร์ในตลาดระบบฝ้าเพดานโครงคร่าวทีบาร์ ได้อีกไม่น้อยกว่า 30-40%

ปัจจุบัน ตลาดระบบโครงคร่าวเพดานทีบาร์ในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวม30-40 ล้านบาทต่อปี หรือมีปริมาณการใช้งานต่อปีประมาณ 17 ล้านตารางเมตร ซึ่งนับเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีปริมาณการใช้งานต่อปีค่อนข้างสูง แต่สินค้าที่ได้รับการรับประกันมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) หรือสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตราฐานะในประเทศไทยมีอยู่เพียง 50% เท่านั้นส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มสินค่าที่ไม่ได้มาตรฐาน และคุณภาพการใช้งานที่ต่ำ

ทั้งนี้ระบบโครงคร่าวเพดานที่มีอยู่ในประเทศขณะนี้แบ่งออกเป็น2 รูปแบบ คือส่วนที่ผลิตจากอลูมิเนียม และส่วนที่ผลิตจากเหล็กโดยในส่วนที่ไม่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่จะเป็นสินคาที่ผลิตจากอลูมิเนียมเนื่องจากมีการพลิ้วของตัววัสดุที่ใช้ผลิต และก่อให้เกิดการเสียหายง่าย โดยในส่วนของสินค้าที่ผลิตจากเหล็กมีแชร์ตลาดอยู่ประมาณ 8.8 ล้านตารางเมตรต่อปี หรือคิดเป็น52% ของปริมาณการใช้ในตลาดต่อปี ส่วนสินค้าที่ผลิตจากอลูมิเนียมมีแชร์ตลาดอยู่ประมาณ 8.2 ล้านตารางเมตรต่อปีคิดเป็น 48% ของปริมาณการใช่ในตลาดรวม

นายชัยฤทธ์ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มลูกค้าของบีพีบีในขณะนี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ กลุ่มลูกค้าประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งมีปริมาณการใช้รวมต่อปีประมาณ 11 ล้านตารางเมตร หรือประมาณ64% ของตลาดรวม , กลุ่มลูกค้าประเภทอาคารสูงและอาคารพาณิชย์ ที่มีปริมาณการใช้ต่อปี 2.5 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 15% และกลุ่มลูกซ่อมแซมและเชิงพาณิชย์ มีปริมาณการใช้ 3.6 ล้านตารางเมตรคิดเป็น 21% ของตลาดรวม โดยผลิตภัณฑ์ระบบฝ้าเพดานโครงคร่าวทีบาร์ สลิมกริด และ สลิมเดคอร์ จะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าประเภทที่อยู่อาศัยเป็นหลัก

นายชัยฤทธิ์ กล่าวถึงยอดขาย รายได้ และสถานการณ์ตลาดผนังเพดานยิปซั่ม ว่า ในช่วงที่ผ่านมาผลกระทบจากราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย และการเมือง มีผลให้เกิดการชะลอการก่อสร้างภายในประเทศ ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคก่อสร้าง ทำให้ยอดขายในประเทศของบีพีบี มีอัตราการเติบโตไม่ได้ตามเป้า คาดว่าจนถึงสิ้นปีบริษัทจะมียอดขายเติบโตอยู่ที่ประมาณ 7-8% จากเป้าที่วางไว้ว่าจะขยายตัวประมาณ 10-15% แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้หันไปส่งออกสินค้าไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรักษายอดขายไว้ตามเป้าที่วางไว้ โดยในช่วงต้นปี บริษัทวางเป้าว่าจะมีรายได้รวมตลอดปี จำนวนเงิน 3,500 ล้านบาท มาจากการขายในประเทศ 80% และส่งออก 20% แต่เนื่องจากสถาการณ์ตลาดชะลอตัวทำให้บริษัทเพิ่มการส่งออกไปต่างประเทศเป็น 50% ทำให้บริษัทมียอดขายที่ยังเป็นไปตามเป้าอยู่ โดยในช่วง9 เดือนที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ คือเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ทั้งปี


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.