|
บิ๊กล็อต CSP 2 วัน กวาด 10 ล้านหุ้น ผู้บริหารสั่งจับตาไม่หวั่นถูกเทกฯ
ผู้จัดการรายวัน(20 ตุลาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
พบบิ๊กล็อตหุ้นซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ 2 วัน กวาดหุ้นจำนวน 10.60 ล้านหุ้น ในราคาที่สูงกว่าราคาในกระดาน ผู้บริหารมึนไม่รู้เป็นออเดอร์ซื้อขายของใคร แต่สั่งจับตามองการซื้อขายอย่างใกล้ชิด ชี้ไม่หวั่นจะถูกเทคโอเวอร์เหตุมีหุ้นหมุนเวียนในตลาดเพียง 20%เท่านั้น หุ้นส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แจ้งว่าวานนี้ (19 ต.ค.) ได้มีรายการซื้อขายรายใหญ่หรือบิ๊กล็อตในหุ้นบริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CSP 2 รายการ จำนวน 4.6 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 40.01 ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 8.70 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งราคาปิดวานนี้อยู่ที่ 8.35 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 2.34% มูลค่าการซื้อขาย 22.47 ล้านบาท
นอกจากนี้ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2549 ก็มีบิ๊กล็อตในหุ้นบริษัทซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำนวน 6 ล้านหุ้นมูลค่าการซื้อขาย 51.60 ล้านบาท ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 8.60 บาท ซึ่งเมื่อนำบิ๊กล็อต 2 วันมารวมกัน จะเป็นจำนวน 10.60 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 91.61 ล้านบาท
นายวีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไม่ทราบว่ารายการบิ๊กล็อตดังกล่าวเป็นการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มใด ซึ่งก็ได้มีการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดมาตลอด และได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ดูแลไปตรวจสอบเช่นกันว่าเป็นรายการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มใด แต่ก็เชื่อว่าการที่มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายเป็นจำนวนมากเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ามีความมั่นใจในธุรกิจของบริษัทเห็นได้จากราคาที่ตกลงซื้อขายนั้นสูงกว่าราคาหุ้นในกระดาน
อย่างไรก็ตามแม้จะมีนักลงทุนทยอยเข้ามาเก็บหุ้น แต่ก็ไม่กังวลว่าจะถูกเทคโอเวอร์หรือครอบงำกิจการ เพราะปัจจุบันนี้มีหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 20% ซึ่งเป็นหุ้นที่นำออกมาเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปหรือไอพีโอ ช่วงที่บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเช่นตระกูลชัยสุพัฒน์ยังไม่ได้ขายหุ้นออกมาเลย แม้ว่าที่ผ่านมาจะหมดไซเรนพีเรียดไปแล้วบางส่วน ทำให้สามารถขายหุ้นได้ประมาณ 25% แต่ก็ไม่ได้มีการขายออกมาแต่อย่างใด
สำหรับกรณีที่จะดึงผู้ประกอบการเหล็กจากประเทศจีนเข้ามาถือหุ้นนั้น นายวีรศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปเพราะจะต้องศึกษารายละเอียดว่าจะให้เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนเท่าใด อย่างไรก็ตามมองว่าคงจะเข้ามาถือในสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก และคงจะไม่ได้เข้ามาบริหารแต่อย่างใด โดยจะเป็นการเข้ามาซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่ได้เข้ามาซื้อจากการเพิ่มทุนแต่อย่างใด ดังนั้นผู้ถือหุ้นรายย่อยจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่การที่มีผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาจะเกิดผลดีต่อบริษัทในแง่ของการขยายตลาดได้มากยิ่งขึ้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|