โกลบอลฯฟุ้งครึ่งปีหลังปันผลสูงกว่า10สต.มั่นใจปีนี้โกยยอดขายตามเป้า3.6 พันล้าน


ผู้จัดการรายวัน(13 ตุลาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

โกลบอลฯ มั่นใจยอดขายปีนี้โตตามเป้า 3.6 พันล้านบาท เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เพิ่มและสินค้ามาร์จินสูงขึ้น ฟุ้งครึ่งปีหลังจ่ายปันผลสูงกว่าครึ่งปีแรกที่ปันผลในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น เร่งรุกตลาดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในปีหน้า เหตุมาร์จินสูงและเลี่ยงการแข่งขันตลาดพลาสติกชนิดธรรมดาที่นับวันจะรุนแรง

นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (GC) เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.6 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8-10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3.2 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิเติบโตสูงกว่าปีที่แล้ว หลังจากครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท เนื่องจากสินค้าใหม่ที่เข้าทำตลาดมีมาร์จินสูงขึ้น ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทฯได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้เสียภาษีเงินได้เพียง 25%จากเดิม 30%

ดังนั้น บริษัทฯมั่นใจว่าจะจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีหลังนี้ไม่น้อยกว่า 6 เดือนแรกของปีนี้ที่จ่ายปันผลในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น ซึ่งผลสำรวจของ บล.ทิสโก้ พบว่า GC ที่จ่ายผลตอบแทนเงินปันผลครึ่งแรกของปีนี้สูงสุดติดอันดับที่ 26 อยู่ที่ 3.8% ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่บริษัทเคยตั้งเป้าหมายในช่วงเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯว่าจะติดอันดับ 1 ใน 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ที่จ่ายปันผลสูงสุดภายใน 3-5ปี

ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้จjายเงินปันผลในอัตรา 80% ของกำไรสุทธิ หรือหุ้นละ 0.14 บาท และปีนี้คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลได้สูงขึ้น เนื่องจากปีหน้าบริษัทฯไม่มีแผนจะใช้เงินลงทุน จึงสามารถจ่ายเงินป้นผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้มากเหมือนปีที่แล้ว

นายสมชาย กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคตว่า ในปีหน้าเม็ดพลาสติกชนิดธรรมดาราคาจะปรับตัวลง แต่ยังไม่ใช่ช่วงต่ำสุดของวัฎจักรราคา ซึ่งเชื่อว่าในปลายปี 2551 ราคาน่าจะปรับตัวต่ำสุด แต่ไม่รุนแรงเหมือนในอดีตแม้ว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางเข้ามา แต่ในช่วงที่ผ่านมา มีการควบรวมกิจการของผู้ผลิตพลาสติกรายใหญ่ของโลกมาตลอด ทำให้การแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรงมากเพื่อรองรับปัญหาความผันผวนด้านราคาเม็ดพลาสติกเกรดธรรมดา(Commodity)ที่จะแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้ง ๆ ที่มาร์จินต่ำอยู่แล้ว บริษัทฯจึงให้ความสำคัญในการทำตลาดสินค้ากลุ่มพลาสติกวิศวกรรม (Specialty and engineerin Plastic) และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Special Chemical) ที่มีมาร์จินสูงถึง 8-20%แทน

โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้กำไรจากกลุ่มธุรกิจเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษและเคมีคอลชนิดพิเศษเป็น 50%ของรายได้จากปัจจุบันที่รายได้เพียง 25%ภายใน3ปีข้างหน้า โดยอาศัยความได้เปรียบด้านโครงสร้างอัตราภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกของประเทศนอกกลุ่มอาฟต้าที่จะปรับลดลงเหลือ 5%ในปี 2550 ขณะเดียวกันบริษัทผุ้ผลิตเม็ดพลาสติกข้ามชาติเองก็ให้ความเชื่อมั่นใจGCว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายที่มีความเข้มแข็งด้านการเงิน และความโปร่งใส ทำให้ปัจจุบันเป็นตัวแทนจำหน่ายเม็ดพลาสติกของเอ็กซอน โมบิลฯ และดูปองท์ เอ็นจิเนียริ่ง โพลิเมอร์ นอกเหนือจากเป็นตัวแทนจำหน่ายเม็ดพลาสติกรายใหญ่ให้เครือปูนซิเมนต์ไทย

"ตราบใดที่บริษัทฯมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้า และมีความเชี่ยวชาญ ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรายใหญ่มีแนวโน้มจะให้ตัวแทนจำหน่ายเข้ามาทำการตลาดให้ลูกค้ารายเล็ก เพราะไม่ต้องการเป็นภาระ ซึ่งบริษัทที่มั่นคง มีจรรยาบรรณและโปร่งใส ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่ที่เข้ามาทำตลาดในไทยเขาก็จะเลือกเราเป็นเอเย่นต์ ทำให้เราเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ และเป็นตัวที่สร้างรายได้ค่อนข้างมากในอนาคต"นายสมชายกล่าว

ปัจจุบัน บริษัทฯมี 3 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.พลาสสติกชนิดธรรมดา มีมาร์จินเพียง 3-5% คิดเป็นสัดส่วนยอดขายรวม 70% และกำไร 50% 2. พลาสติกวิศวกรรมเกรดพิเศษ คิดเป็นยอดขาย 20% และกำไร 35 % และ 3. เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ คิดเป็นยอดขาย 5% และกำไร 12-15 % ซึ่งแนวโน้มการเติบโตในอนาคตจะเน้น 2 กลุ่มธุรกิจหลัง เพราะมีมาร์จินสูงกว่า และการแข่งขันน้อยกว่า

นายสมชาย ยอมว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯทำตลาดในต่างประเทศพลาดเป้าหมาย โดยส่งออกเม็ดพลาสติกไปเวียดนามและออสเตรเลียเพียงเล็กน้อย คิดเป็นสัดส่วนของรายได้เพียง 1%เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่ายังไม่คุ้มการลงทุน เพราะผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรายใหญ่ทั้งปูนซิเมนต์ไทยและปตท.ก็มีการทำตลาดในประเทศอาเซียนอยู่แล้ว จึงหันมามุ่งเน้นทำตลาดในไทยเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การทำตลาดส่งออกจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เนื่องจากบริษัทฯจะเน้นส่งเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษไปจำหน่ายในประเทศอาเซียนหากลูกค้ามีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น

ปัจจุบันหุ้นGCมีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 รายแรกถือครองหุ้นทั้งหมด 77.5% แต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่พร้อมก็พร้อมที่จะขายหุ้นออกมาหากมีนักลงทุนสนใจซื้อหุ้นในกระดาน เพื่อหวังเพิ่มสภาพคล่อง ขณะที่บริษัทฯมีมาร์เก็ตแคปต่ำเพียง 500 ล้านบาท จึงไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบันต่างชาติ แม้ว่าจะมีการจ่ายปันผลในอัตราสูงก็ตาม ดังนั้น ในอนาคตบริษัทฯมีเป้าหมายที่จะเพิ่มมาร์เก็ตแคปเป็น 3-5 พันล้านบาทด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.