|
กสิกรฯคาดการลงทุนปีหน้าฟื้นหนุนใช้ศก.พอเพียงพัฒนายั่งยืน
ผู้จัดการรายวัน(13 ตุลาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดทิศทางการลงทุนไตรมาส 4 ยังชะลอต่อเนื่อง เหตุต่างชาติยังรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่ และจะกระเตื้องขึ้นในปี 50 หลังเบิกจ่ายงบประมาณได้ แต่ยังคงต้องจับตาการลงทุนต่างชาติจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ พร้อมหนุนใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงสร้างเสถียรภาพและการสร้างสมดุลในการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินแนวโน้มการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีว่า น่าจะยังมีทิศทางที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากในไตรมาสที่ 3 โดยอาจจะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 3.8% จาก 5.2%ในครึ่งปีแรก โดยในส่วนของนักลงทุนต่างชาติอาจมีความกังวลต่อทิศทางทางการเมืองและรอดูความชัดเจนในเรื่องนโยบายรัฐบาล ทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศชะลอตัวอยู่ ขณะที่การลงทุนในภาครัฐนั้น เนื่องจากการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2550 คงจะเริ่มต้นได้ไม่ทันไตรมาสแรกของปีงบประมาณ จึงทำให้การลงทุนภาครัฐดำเนินการได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ จากภาวะอุทกภัยที่รุนแรงกว่าทุกๆปี จะเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมด้านการก่อสร้าง แต่เมื่อระดับน้ำเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ก็คาดว่าจะมีการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย ทำให้การก่อสร้างฟื้นตัวได้บ้าง ดังนั้น คาดว่าการลงทุนในปี 2549 อาจขยายตัวประมาณ 4.5% ชะลอลงจากที่มีอัตราการเติบโต 11.4% ในปี 2548
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปี 2550 คาดว่าปัจจัยลบที่กดดันภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสที่จะผ่อนคลายลง ขณะที่จุดเปลี่ยนทางการเมืองได้ทำให้ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนของประเทศเปลี่ยนแปลงไปทั้งในด้านบวกและด้านลบ โดยในด้านบวก การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลประจำปีงบประมาณ 2550 คงจะเริ่มต้นเบิกจ่ายได้เร็วกว่าที่คาด ซึ่งเม็ดเงินใช้จ่ายของภาครัฐที่เข้าสู่ระบบน่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่อาจมีการทบทวนแผนการลงทุนของรัฐบาลชุดที่แล้วในบางส่วน และด้วยข้อจำกัดของการเป็นรัฐบาลชั่วคราว อาจทำให้ต้องชะลอการตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ก่อภาระผูกพันต่อเนื่องไปในอีกหลายปีข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ การลงทุนของภาครัฐภายใต้รัฐบาลชั่วคราวอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงนัก
นอกจากนี้ ประเด็นทางการเมืองที่รัฐบาลชุดใหม่มีวาระบริหารประเทศชั่วคราวไปจนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในปลายปี 2550 อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนยังคงไม่แน่ใจถึงนโยบายที่อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้ามาใหม่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้นักลงทุนต่างประเทศบางกลุ่มที่ไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย อาจจะชะลอการตัดสินใจที่จะลงทุนในประเทศไทยไปชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน
ดังนั้น คาดว่าการลงทุนโดยรวมของประเทศในปี 2550 อาจขยายตัวอยู่ในช่วง 4.0-5.2% ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้นกว่าในปี 2549 ที่คาดว่าจะขยายตัว 4.5% โดยการลงทุนของภาคเอกชนในปี 2550 มีอัตราการขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2549 สำหรับการลงทุนของภาครัฐ แม้ว่ามีแนวโน้มดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม แต่คงมีอัตราการขยายตัวไม่สูงนัก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เป็นที่น่าจับตามองคือ การเข้ามาของรัฐบาลชุดใหม่นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองแล้ว ยังอาจเปลี่ยนแปลงจุดเน้นของนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนที่หันมาเน้นหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวคิดที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักพื้นฐานในการบริหารเสถียรภาพและการสร้างสมดุลในการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากภายในที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้ดี ขณะที่เศรษฐกิจที่พึ่งพาปัจจัยภายนอกสูงจะมีความเปราะบางต่อปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นได้ว่าหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล และการสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสิ่งที่สอดคล้องกันกับการสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจมหภาคของไทยเป็นอย่างดี
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|