หม่อมอุ๋ยมอบนโยบายขรก.คลังโชว์วิชั่นพอเพียง-รื้อกฎหมาย-ขึ้นดบ.บัตรเครดิต


ผู้จัดการรายวัน(13 ตุลาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ระทึก "โคมไฟแตก-พวงมาลัยขาด" วันแรกที่หม่อมอุ๋ยเข้ากระทรวงการคลัง ก่อนมอบนโยบายข้าราชการ สั่งเดินหน้าเรื่องดีเว้นเรื่องชั่ว โชว์วิชั่น "การเงินการคลังแบบพอเพียง" เผยรัฐบาลมีเงินเพียงพอลงทุน ต่างชาติเข้าใจประเทศไทย เตรียมแก้ไขกฎหมายการเงินพร้อมไฟเขียวเพิ่มเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18 เป็น 20% ส่วนคดีชินฯ ขอศึกษาเรื่องภาษีก่อน

วานนี้ (12 ต.ค.) เมื่อเวลา 9.00 น. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้เดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย ศาลพระพรหมหน้ากระทรวงการคลัง ศาลพระภูมิเจ้าที่ และ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังและข้าราชการระดับสูงให้การต้อนรับ ก่อนสักการะช้างคู่ประจำกระทรวงการคลัง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้น 3 บริเวณห้องทำงาน

ระทึกโคมไฟแตก-พวงมาลัยขาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้ทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้นได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้รอการต้อนรับต้องตกใจและวิจารณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น 2 ครั้งคือ 1.ในขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรทำการสักการะพระพรหมหน้าบริเวณกระทรวงการคลังได้มีเจ้าหน้าที่เดินชนโคมไฟบริเวณพระพรหมแตกจึงทำให้เกิดเสียงดัง และ2.ในขณะที่ทำการสักการะช้างคู่บริเวณหน้ากระทรวงการคลังนั้นในขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้นำพวงมาลัยไปคล้องที่ช้าง พวงมาลัยได้ขาดออกจากกัน

หลังจากเสร็จสิ้นจากการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เรียกประชุมและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจในสังกัด ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า นโยบายการทำงานของกระทรวงการคลังในระยะเวลา 1 ปีนั้น เป็นระยะการทำงานที่สั้นดังนั้นทุกหน่วยงานจึงต้องร่วมมือกัน อะไรที่ทำแล้วเกิดผลดีอยู่แล้วก็ให้เดินหน้าต่อไป ส่วนอะไรที่ทำแล้วไม่ดี ก็ให้ยกเลิกเพราะไม่เกิดประโยชน์

“ได้ฝากให้ผู้บริหาร ทุกกรม ทุกรัฐวิสาหกิจและทุกสถาบันการเงินร่วมกันคิดว่าสิ่งไหนที่จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ให้เดินหน้าต่อไป สิ่งไหนที่ไม่ดีดูแล้วว่าผิดธรรมนองคลองธรรมควรเลิกได้ก็เลิก หรือใครอยากทำอะไรที่เกิดประโยชน์ก็ให้รีบเสนอมาและให้เสนอมาโดยเร็ว เนื่องจากการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้มีเวลาน้อย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

กำชับการเงินการคลังพอเพียง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า นโยบายการคลังในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาถือว่ามีความเหมาะสมต่อระบบเศรษฐกิจแล้ว เพราะหนี้สาธารณะในปัจจุบันก็ลดลงเหลือเพียง 41% ของจีดีพีถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในเอเชีย ซึ่งในปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลจะใช้งบประมาณแบบขาดดุลแต่ไม่เกิน 2% ของจีดีพีโดยถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะนำตัวเลขงบประมาณเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในสัปดาห์หน้าเพื่อให้ครม.ลงมติต่อไป ซึ่งการใช้งบประมาณแบบขาดดุลจะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้เร็วขึ้นหลังจากในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2549 เศรษฐกิจได้ชะลอตัวลง แต่ในไตรมาสสุดท้ายราคาน้ำมันเริ่มลดลงการเมืองนิ่งทุกอย่างคลี่คลายทำให้การลงทุนภาคเอกชนที่เคยอั้นมานานสามารถเดินหน้าต่อไปได้

“นโยบายการเงินการคลัง เป็นตัวที่ตรงกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สุดแล้ว โดยจะประกอบด้วย 3 ตัว คือ เพียงพอ พอตัว และพอดี นั่นคือ ต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอ ส่วนพอตัว ก็คือ ต้องไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่ขยายเกินตัว หรือภาคครัวเรือนก็ต้องไม่ใช้จ่ายเกินตัว ส่วนการลงทุนก็ไม่ควรขยายจนเกินการออม จนต้องไปกู้เงินมา”

รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังกล่าวว่า เศรษฐกิจพอเพียง สามารถไปได้ด้วยดีกับเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี เพราะจะช่วยทำให้เศรษฐกิจแบบตลาดเสรีเติบโตได้อย่างสมดุล และจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจอีกได้ โดยไม่ได้มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น ที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในลักษณะนี้ แต่หลายประเทศในโลก เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลียก็ดำเนินเศรษฐกิจในลักษณะนี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น

โดยเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ เติบโตได้โดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งต่างจากการเติบโตของไทยในช่วงที่ผ่านมา ที่ยิ่งเติบโตทรัพยากรก็เริ่มเสื่อมโทรมลงไป จนอาจจะไม่เพียงพอต่อการรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ เห็นว่าการที่เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น ก็ต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอ

ยืนยันรัฐยังมีเม็ดเงินลงทุน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวด้วยว่า ในด้านการลงทุนของประเทศที่ต้องไม่มากเกินกว่าเงินออมในระบบที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความพอดีนั้น ขณะนี้ ก็พบว่า เมื่อพิจารณาจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเป็นบวกอยู่ ก็แปลว่า เงินออมยังมากกว่าการลงทุน ดังนั้น จึงยืนยันได้ว่ารัฐบาลมีเงินในการลงทุนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์นั้น ในด้านโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ทาง รมว.คมนาคม ได้รับเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ส่วนโครงการด้านการจัดการน้ำทั้งระบบ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม จะเป็นผู้ดูแล ส่วนการนำเข้ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศใช้เครื่องยนต์เอ็นจีวี 2,000 คัน นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ รมว.พลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งกรณีการลดภาษีหรือไม่นั้น คงต้องหารือกันก่อน

เชื่อต่างชาติเข้าใจสถานการณ์

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมีความเข้าใจสถานการณ์การเมืองในเมืองไทยมากขึ้น รวมทั้งเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ว่าสามารถเข้ากับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีได้ โดยภายในระยะเวลา 1 ปีนี้ ไทยจะต้องปรับตัวในทางการเมือง เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง อาทิ การเลือกตั้ง ก็ต้องปราศจากการครอบงำ ประชาชน และสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเต็มที่ เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาขาดในจุดนี้

นอกจากนี้ ยืนยันได้ว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็พบว่า ต่างชาติไม่ได้ขาดความมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทย โดยพิจารณาจากภาวะตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในยุโรปที่ยังขายได้ รวมถึงเมื่อเปิดตลาดหลักทรัพย์ ก็พบว่า ต่างชาติยังซื้อสุทธิติดต่อกันหลายวัน ซึ่งคิดว่า หากต่างชาติไม่มั่นใจก็คงจะไม่ซื้อสุทธิอย่างแน่นอน

"เชื่อว่า หลังจากนี้บรรยากาศต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มดีขึ้น ทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวอยู่ที่ 3.8% ในช่วงที่ผ่านมา แต่หากบรรยากาศดีขึ้น ก็จะกลับมาขยายตัว 4% ได้อีกครั้ง โดยส่วนที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่ ได้แก่ การลงทุนภาคเอกชน ที่เดิมคาดว่าจะชะลอตัวจนถึงไตรมาสที่สี่ปีนี้ แต่ขณะนี้มั่นใจว่า ตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ปีนี้ การลงทุนภาคเอกชนจะเริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่อั้นมานาน"

รื้อกฎหมายการเงินทั้งกระบิ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 1 ปีกระทรวงการคลังจะพยายามผลักดันกฎหมายที่ใช้กำกับดูแลสถาบันการเงินทั้งระบบ ทั้งธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจประกันภัยประกันชีวิต ธุรกิจหลักทรัพย์ หลักทรัพย์จัดการกองทุน รวมทั้งกฎหมายของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยจะแก้ไขให้มีความเหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการกำกับดูแลสูงสุด

โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาและนำเสนอต่อครม.เพื่อขออนุมัติต่อไป แต่ยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนให้มีการแยกอำนาจการกำกับดูแลธปท.ออกจากกระทรวงการคลัง เนื่องจากระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถือว่ามีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว

“ตอนที่ผมเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติผมก็คัดค้านการแยกอำนาจควบคุมตอนนี้ผมมาเป็นรัฐมนตรีคลังผมก็ยังยืนยันที่จะไม่ให้แยกอำนาจต่อไป เพราะระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีมากว่า 60 ปีแล้วและก็มีความเหมาะสมไม่มีความจำเป็นต้องแยกอำนาจแต่อย่างใด” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

ส่วนการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากจะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จเช่นเดียวกัน เนื่องจากเปรียบเสมือนยันต์กันผี การจัดตั้งขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและไม่ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินต้องเข้ามารับภาระหากมีความเสียหายเกิดขึ้นอีก

เร่งแก้หนี้เน่าแบงก์รัฐ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า จะเร่งตรวจสอบการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐว่าแห่งใดประสบปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ในระดับที่สูง โดยจะเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุดไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามต่อไป ซึ่งจะนำเอาวิธีการบริหารงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่คอยควบคุมดูแลธนาคารพาณิชย์หากพบสัญญาณว่าจะเกิดปัญหาก็จะดำเนินการแก้ไขในทันที

ทั้งนี้จากการพิจารณาตัวเลขในเบื้องต้นพบว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวนประมาณ 2-3 แห่งประสบปัญหาเอ็นพีแอลในระดับที่สูงกว่าปกติ ซึ่งกระทรวงการคลังในฐานะผู้กำกับดูและโดยตรงจะต้องดำเนินการแก้ไขให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายจากการปล่อยกู้เกิดได้

ไฟเขียวขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิต

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า การที่ชมรมผู้ประกอบการบัตรเครดิตได้เสนอให้ ธปท.อนุมัติเพิ่มเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากเดิม 18% เป็น 20% นั้นคงมีการเซ็นอนุมัติให้กับผู้ประกอบการได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่าการที่ผู้ประกอบการยื่นขอเพิ่มดอกเบี้ยมานั้นมีเหตุผลที่ยอมรับได้เพราะต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากเมื่อก่อนมากและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นก็ยังต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อบุคคลที่อยู่ในระดับ 28% จึงเห็นด้วยที่จะมีการเพิ่มเพดานดอกเบี้ยขึ้น

ทั้งนี้ หากธปท.และกระทรวงการคลังเข้มงวดกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตมากเกินไปโดยไม่มีการอะลุ่มอล่วยก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่อยากให้บริการแก่ประชาชน เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจไม่คุ้มค่ากับต้นทุน โดยการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ก่อให้เกิดภาระกับผู้ถือบัตรเครดิตมากเกินไป

“เรามีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าภาระต้นทุนของเขาสูงขึ้นมากจึงจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยให้เขา และคงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือบัตรเพราะยังใกล้เคียงกับระดับเดิม หากใครคิดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เกิดภาระก็ไม่ต้องใช้บัตรเครดิตจะได้ไม่ต้องมีภาระจากการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

ส่วนตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่คาดว่าจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.เพื่อขออนุมัติได้ภายในสัปดาห์หน้า

ขอศึกษาเรื่องภาษีหุ้นชินก่อน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า กรณีการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์นอกตลาดหลักทรัพย์นั้นต้องขอดูรายละเอียดเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากยังไม่เข้าใจกฎหมายภาษีมากนัก

ซึ่งเท่าที่ผ่านมานายสุวรรณ วลัยเสถียร ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านภาษีระดับต้นของประเทศก็ออกมาให้ความเห็นอยู่เสมอว่าไม่ต้องเสียภาษีไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่ก็ต้องขอดูข้อมูลให้ชัดเจนอีกครั้งต้องทำตามเนื้อผ้า ผิดก็ว่าตามผิดถูกก็ว่าตามถูก

ส่วนการที่กองทุนเทมาเส็กต้องการลดสัดส่วนการถือหุ้นบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่นลงเพื่อลดแรงต่อต้านจากสังคมนั้น ก็ถือเป็นเรื่องของนักลงทุนที่ต้องเจรจากันเอง รัฐบาลไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยกับการถือหุ้นของเทมาเส็ก โดยหากขายออกมาในตลาดก็คงมีคนต้องการซื้อเพราะเป็นหุ้นพื้นฐานดี

“เขาอยากลดสัดส่วนก็เรื่องของเขาเป็นเรื่องที่เอกชนต้องไปคุยกันเองสิงคโปร์เป็นประเทศที่เก่งในเรื่องการลงทุนอยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะตอนที่ซื้อหุ้นเข้าก็ไม่ได้มาบอกให้รัฐบาลรับรู้แต่อย่างใด คนซื้อกับคนขายเขาคุยกันเองและรัฐบาลก็ไม่จำเป้นจะต้องไปให้สิทธิพิเศษอะไรกับเขาด้วย”


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.