หมอกสีเทาที่ลอยตัวอ้อยอิ่ง ค่อยๆ สลายตัวไป พร้อมๆ กับ แสงแดดแรกของยามเช้าเข้ามาแทนที่
ภาพเบื้องหน้าที่เห็นชัดเจนขึ้น คือ เครือเถาทอดยาวเป็นทิวของไร่องุ่นบนเนินเขาแห่งที่ราบสูงโคราช
แหล่งผลิตไวน์ "Chateau Des Brumes"
"เราเรียกโรงงานไวน์ของเรา ซึ่งสร้างให้ชั้นล่างลึกลงไปใต้ดินคล้ายถ้ำตามแบบฝรั่งเศสว่า
ปราสาทในหมอก พ้องกับชื่อฝรั่งเศสว่า "ชาโต เดอ บรูมส์"
กนกวรรณ พัวอมรพงศ์ กรรมการและผู้จัดการสาว บริษัทวิลเลจ ฟาร์ม จำกัด และผู้บริหารบริษัทวังน้ำเขียวไวน์เนอรี่
เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง เมื่อได้มีโอกาสไปร่วมงานวันเปิดตัวโรงงานทำไวน์
Chateau Des Brumes และ Village Farm Nouveau Red Wine ที่อำเภอวังน้ำเขียว
จังหวัดนครราชสีมา
เธอเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่หลงใหลในรสชาติที่เป็นอมตะของไวน์แดงมากที่สุด
แน่นอนไวน์ยี่ห้อโปรดของเธอต้องมาจากแคว้นบอร์โดซ์ (Bordeaux) ประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งบรรดาคอไวน์ทราบกันดีว่าเป็นแคว้นที่ปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์แดงมานานกว่า
2 พันปี และ มีไวน์ยี่ห้อดังๆ จากแคว้นนี้มากมายส่งขายไปทั่วโลก
จุดที่เรายืนคุยกันในวันนั้นอยู่บนเนินเขา ด้านหน้าของ Village Old Barn
หรือโรงนาเก่า ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงให้เป็นที่ต้อนรับ เป็นร้านค้า ร้านอาหาร
ห้องสมุด และที่พักแบบ Home Stay ตกแต่งด้วยไม้เก่าๆ เพื่อให้ได้บรรยากาศของบ้านในชนบท
เมื่อทอดสายตาลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง จะเห็นทิวทัศน์ความเป็นระเบียบของแถวองุ่น
ที่ทอดตัวยาวเป็นทิว ตั้งแต่ขับรถผ่านเข้ามาในฟาร์ม อีกด้านหนึ่งเป็นโรงงานผลิตไวน์
ที่ตกแต่งตัวอาคารโดยใช้หินภูเขาเป็นหลัก
ธรรมชาติของพื้นที่ยอดเขาเป็นตัวกำหนด อันสำคัญในโรงงานไวน์แห่งนี้ อันที่จริงแล้วธรรมชาติเป็นผู้จัดวางตัวโรงงานให้ลาดต่ำลึกลงไปตามผิวหิน
และกลายเป็นห้องโถงใต้ดิน 2 ชั้น มีกำแพงคอนกรีตหนาวางบนพื้นหิน เป็นรูปสี่เหลี่ยม
มีหลังคาชั้นที่ 1 เป็นคอนกรีต ซึ่งจะเป็น ฐานสำหรับการสร้างชั้นที่ 2 และ
3 ของโรงงานให้เป็นทั้งห้องพักแรม รวมถึง Cellar ที่เก็บและแสดงไวน์ในอนาคต
เมื่อต้องการผลิตไวน์ที่มีคุณภาพเทียบเท่า ไวน์จากฝรั่งเศส ทั้งรูปแบบโรงงาน
วิธีการ ความ ร่วมมือ กระบวนการ ตลอดจนถังไม้โอ๊ก สำหรับ บ่มไวน์ ล้วนนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับความพิถีพิถันในการคัดเลือกสายพันธุ์องุ่น "Shiraz" ที่เป็นต้นพันธุ์จากแหล่งกำเนิด
เก่าแก่ในตะวันออกกลางมาเป็นหลักในการผลิตไวน์ พร้อมๆ กับการหว่านเม็ดเงินก้อนใหญ่ลงไปในดินเพื่อพัฒนาให้ได้ไร่องุ่นที่มีคุณภาพที่สุด
เมื่อ 10 ปีก่อนเส้นทางถนนสาย 304 ที่เชื่อมต่อไปยังวิลเลจฟาร์มนี้ ทหารช่างอเมริกัน
ตัดขึ้นเพื่อใช้เป็นทางยุทธศาสตร์เชื่อมต่ออู่ตะเภา และชายฝั่งภาคตะวันออกกับภาคอีสาน
ผ่านไปยังประเทศลาว ยุคสงครามเวียดนาม และได้ตัดผ่านอำเภอวังน้ำเขียว ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดจุดหนึ่งของที่ราบสูงโคราช
ระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทับลาน วังน้ำเขียวจึงรายรอบไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม
และกลายเป็นทำเลหนึ่งที่นักลงทุนที่มีเงินกอง มองการณ์ไกลในสมัยนั้นเข้าไปซื้อหาจับจองเป็นเจ้าของ
วีรวัฒน์ ชลวนิช ผู้ก่อตั้ง บริษัทวิลเลจ ฟาร์ม และวังน้ำเขียวไวน์เนอรี่
เป็นผู้หนึ่งที่ติดใจในเสน่ห์ของทุ่งหญ้าและภูเขาสูงในย่านนี้ และได้ไปซื้อทิ้งไว้จำนวนมากแม้จะมีธุรกิจอื่นๆ
อีกมากมายในกรุงเทพฯ แต่ด้วยใจรัก เขาได้เข้าไปเริ่มพัฒนา Village Farm อย่างช้าๆ
ทีละขั้นๆ มานานนับ 10 ปี
จากพื้นที่ของทุ่งหญ้าคา ป่าเสื่อม โทรม และไร่มันสำปะหลัง กลายเป็นแปลง
เกษตร ที่มีข้าวโพดหวาน และมันฝรั่งเป็นหลัก รวมทั้งพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ
ด้วย
จนกระทั่งเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา กระแสความนิยมในไวน์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคนไทย
ดังนั้น เมื่อปลายปี 2540 หุ้นส่วนของบริษัท คนหนึ่งก็ได้ชักชวนผู้เชี่ยวชาญเรื่องไร่องุ่นจากต่างประเทศ
และของกลุ่มบริษัทบุญรอด เข้ามาสำรวจพื้นที่ในวิลเลจฟาร์มและพบว่า ในที่ดินและภูมิอากาศของบริเวณนี้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการทำไร่องุ่น
การพัฒนาแปลงองุ่นในพื้นที่ 200 ไร่ให้มีคุณภาพ โดยมีเป้าหมายตั้งแต่ตอนนั้นว่าจะต้องมีอุตสาหกรรมไวน์ขึ้นมารองรับจึงได้เริ่มขึ้น
การสร้างโรงงานและพัฒนาการผลิตไวน์คืบคลานไปอย่างช้าๆ เหมือนการพัฒนาไร่องุ่น
ในระหว่างที่ยังไม่ได้นำองุ่นไปผลิตเป็นไวน์ น้ำองุ่น และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นยี่ห้อ
วิจเลจ ฟาร์มก็เป็นที่รู้จักล่วงหน้าไปแล้ว
ปี 2002 เป็นปีแรกที่ได้ผลิตไวน์ขึ้นภายใต้ชื่อของบริษัท วังน้ำเขียวไวน์เนอรี่
ซึ่งปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ Chateau Des Brumes ที่นักชิมบอกว่ารสชาติของมันจบลงด้วยความฝาดนุ่ม
ค้างอยู่ในลำคอยาวนานเป็นที่น่าติดใจ และยังมี Village Farm Nouveau Red
Wine ซึ่งเป็นไวน์ที่เรียกกันว่า Nouveau หรือ Young Wine ในบางครั้งก็เรียกว่า
ไวน์สด เป็นสไตล์แบบ Beaujolais Nouveau ของฝรั่งเศสสำหรับดื่มกันในช่วงสั้นๆ
ตามหน้าเทศกาลต่างๆ ของทุกปีมาให้ทดลองกันด้วย
จากการพิถีพิถันในการคัดองุ่นสดพิเศษ ผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีจากประเทศฝรั่งเศส
การควบคุมการผลิตตลอดทั้งกระบวนจนถึงบรรจุขวดแล้วเสร็จโดย wine-makers ผู้ชำนาญการจาก
Chateau ระดับ Grand Cru แห่ง Saint Emilion ทำให้กนกวรรณ และทีมงาน วางกลุ่มลูกค้าของไวน์ตระกูลนี้ไว้ที่ระดับกลางถึงสูง
คือ Chateau Des Brumes ราคาขวดละ 790 บาท ส่วน Nouveau ขวดละ 490 บาท แต่ในช่วงทำตลาดนั้นจะขายลดราคา
20 เปอร์เซ็นต์
วิลเลจฟาร์ม นอกจากมีไวน์ไว้คอยบริการ ยังมีห้องพักแบบชนบท ท่ามกลางบรรยา
กาศในธรรมชาติที่กว้างใหญ่เป็นพันไร่ ไว้รับรองสำหรับผู้ที่ค้างคืน และต้องการละเลียดรสชาติของไวน์ไปพร้อมๆ
กับชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นหรือนอนนับทะเลดาวยามค่ำคืนได้อีกด้วย