|
See You Tomorrow, Andre!
โดย
มานิตา เข็มทอง
นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ในที่สุด อังเดร อากัสซี่ อดีตนักเทนนิสมือหนึ่งของโลก และเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 8 ครั้ง ปาดน้ำตาปิดฉากการเป็นนักเทนนิสมืออาชีพด้วยวัย 36 ปี หลังพ่ายเบนจามิน เบ็คเกอร์ จากเยอรมนี ท่ามกลางเสียงปรบมือของแฟนๆ กว่าสองหมื่นคน กึกก้องสนามเทนนิสอาเธอร์แอช ภายในศูนย์เทนนิสแห่งชาติยูเอสทีเอ ที่เปลี่ยนชื่อเป็น บิลลี่ เจน คิง ในรายการยูเอสโอเพ่นประจำปี 2006 ซึ่งถือเป็นแกรนด์สแลมสุดท้ายของปี เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา และเขาเลือกที่จะแขวนไม้เทนนิสในรายการนี้ เพราะจัดขึ้นในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นที่ที่ค้นพบเขา ซึ่งเขาครองแชมป์ยูเอสโอเพ่นถึง 2 ครั้งด้วยกันคือ ในปี 1994 และ 1999
"แม้ว่าคะแนนบนกระดานจะบอกว่า ผมแพ้ในวันนี้ แต่มันไม่ได้บอกว่าผมได้ประสบอะไรมาบ้างในตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา ผมได้ความรักภักดีจากแฟนๆ ที่มีต่อผม เสียงเชียร์ของพวกคุณที่ส่งให้ผมในสนามแข่งไปจนถึงชีวิตของผม นอกสนาม ผมได้สัมผัสแรงดลใจของพวกคุณที่เชียร์เป็นกำลังใจให้ผม แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ผมได้ค้นพบความเอื้ออาทรที่พวกคุณมีให้ผมยืนหยัดเพื่อทำฝันให้เป็นจริงความใฝ่ฝันที่ผมไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้
"หากไม่มีพวกคุณ ตลอด 21 ปีที่ผ่านมา ผมได้เจอพวกคุณ และพวกคุณจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป ขอบคุณ ครับ" เป็นคำกล่าวปนสะอื้น อำลาแฟนๆทั้งในสนามและนอกสนาม พร้อมส่งจูบและ โบกมือลาด้วยน้ำตาอาบสองแก้มของลูกผู้ชายชื่อ อังเดร อากัสซี่... เป็นภาพที่จารึกอยู่ในใจของแฟนเทนนิสทั่วโลก
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น หลายคนตั้งคำถามว่า แล้วเขาจะทำอะไรต่อไป... แต่ก่อนที่จะเล่าถึงงานนอกสนามของอังเดร ที่มารอเขาอยู่แล้ว ขอเล่าถึงความเป็นมาของชีวิตเขาพอสังเขปก่อนนะคะ
อังเดรเกิดในเมืองแสงสีอย่างลาส เวกัส มลรัฐเนวาดา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 1970 มีชื่อเต็มว่า "อังเดร เคิร์ค อากัสซี่" โดยชื่อกลางของเขาตั้งตามชื่อของเคิร์ค เคอร์โคเรียน เจ้าของกาสิโนรายใหญ่ลาสเวกัส ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของบิดาเขา... ไมค์ อากัสซี่ บิดาของอังเดรเป็นชาวอิหร่าน และเป็นนักมวยเก่าเคยเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งกีฬาโอลิมปิกถึง 2 ครั้งในปี 1948 และ 1952 จากนั้นย้ายมาปักหลักปักฐานในอเมริกา และพบรักกับอลิซาเบธ มารดาชาวอเมริกัน ของอังเดร
หลังจากที่ไมค์ย้ายมาที่ลาสเวกัส เขาก็เริ่มอาชีพเป็นโค้ชเทนนิส ซึ่งเป็นกีฬาที่เขาชื่นชอบมานาน ถึงขั้นสร้างสนามฝึกเล็กๆ ที่หลังบ้าน เพื่อฝึกลูกๆ ของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ น้องสุดท้อง อังเดร ที่ดูมีแวว มากสุดในบรรดาพี่ๆ ของเขา อังเดรเติบโต มาพร้อมๆ กับลูกเทนนิสอย่างแท้จริง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ จะเห็นเขาวิ่งเล่นโดยมีไม้เทนนิสผูกติดแขนไว้เกือบตลอดเวลา ยามนอนก็นอนมองลูกเทนนิสสีเหลืองที่พ่อเขาแขวนไว้แทนตุ๊กตาอื่น จนหลับพับไป พ่อฝึก เขาทุกวัน ไม่มีวันหยุด ตีวันละ 3,000-5,000 ลูก ซึ่งถือว่าหนักเอาการสำหรับเด็กตัวเล็กนิดเดียว และจากการฝึกหนักในวัยเด็กนั้น มีหลายคนคิดว่า อาจเป็นต้นเหตุของปัญหา การเจ็บที่หลังของเขา จนเป็นเหตุที่ต้องอำลาวงการเทนนิสมืออาชีพอย่างถาวร
ด้วยวัยเพียง 10 ปี อังเดรก็เริ่มหวดแข่งกับคู่แข่งในอนาคตของเขาอย่างพีทท์ แซมปรัส จิม เคอริเออร์ และไมเคิล ชาง ความสามารถของเขาเริ่มทวีขึ้น จนพ่อของเขาจ้างนิกค์ โบลเลเทียรี่ มาเป็นโค้ชมืออาชีพให้อังเดร จากนั้นเมื่ออายุ 16 ปี อังเดร เริ่มเข้าเล่นระดับมืออาชีพ และขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 3 ของโลกด้วยวัยเพียง 18 ปี ในปี 1992 หลังจากเอาชนะโกราน อิเวนิ เซวิช ในรายการวิมเบิลดัน จากนั้นเขาเปลี่ยนตัวโค้ชมาเป็นแบรด กิลเบิร์ท และอนาคตของเขาก็เริ่มพุ่งทะยาน ชนะรายการ ยูเอสโอเพ่น ในปี 1994 ชนะรายการออสเตรเลียโอเพ่น ในปี 1995 ชนะโอลิมปิก เหรียญทอง ในปี 1996
ชีวิตในสนามกำลังรุ่งโรจน์ ชีวิตนอก สนามก็ไม่น้อยหน้า ในปี 1993 เขาเริ่มรู้จักกับบรูค ชิลด์ จากการแนะนำของลินดี้ เบนสัน ภรรยาของเคนนี่ จี นักแซ็กโซโฟนชื่อดัง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็เคยควงอยู่กับดารา รุ่นใหญ่อย่างบาร์บาร่า สไตแซนด์ ซึ่งตอนหลังก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่กับบรูค ชิลด์ ถึงขั้นแต่งงานด้วย ทั้งสองจูงมือ เข้าประตูวิวาห์กันในปี 1997 จากนั้นฝีมือการเล่นเทนนิสของเขาเริ่มตกลง ปลายปีของการแต่งงาน อังเดรตกมาอยู่อันดับที่ 141 ของโลก และก่อนฉลองครบรอบการแต่งงาน ปีที่ 2 เขาประกาศหย่าจากบรูค ชิลด์ ขณะนั้นเขาอายุได้ 27 ปี ซึ่งนักเทนนิสส่วนใหญ่ เริ่มคิดวางมือเมื่ออายุย่างขึ้นเลข 3 แต่อังเดรกับทำตรงกันข้าม เขาเริ่มกลับคืนเข้าสู่วงการ ในขณะนั้นกิลเบิร์ทซึ่งเป็นทั้งโค้ชและเพื่อนกล่าวกับเขาว่า หากอังเดรต้องการ จะกลับมาอุทิศกายใจให้กับเทนนิสอีกครั้ง เขาก็พร้อมที่จะช่วย แต่ถ้าอังเดรไม่ต้องการ ทุ่มเท เขาจะขอลา...
หลังจากนั้นไม่นาน อังเดรฟื้นคืนสู่สนามหวดลูกสักหลาดอีกครั้ง อังเดรฝึกหนักมาก แต่เขาก็ได้รางวัลจากการฝึกหนัก ในปี 1999 เขาชนะรายการเฟรนช์โอเพ่น และหลังจากนั้นเป็นคนที่ 2 ที่ชนะแกรนด์ สแลมติดต่อกันถึง 4 ปีซ้อน ซึ่งคนที่ทำไว้คนแรกคือ ร็อด เลเวอร์ ที่เคยทำสถิติไว้ในช่วง 60's อังเดรชนะรายการยูเอสโอเพ่นในปี 1999 อีกรายการหนึ่ง และอีก 3 ปีถัดมา เขาชนะรายการออสเตรเลียนโอเพ่นถึง 3 ปีซ้อน... หลังจากชีวิตในสนาม เริ่มกลับคืนมา ชีวิตนอกสนามเขาต้องเผชิญ กับข่าวร้ายที่ว่า มารดากับพี่สาวของเขาป่วยเป็นมะเร็งเต้านม เขาต้องแบ่งเวลาให้กับครอบครัวด้วย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งทีเดียวของอังเดร นอกจากนั้นเขายังเริ่มความสัมพันธ์กับสเตฟฟี่ กราฟ นักเทนนิสหญิงมือหนึ่งของโลกอีกด้วย เขาใช้ชีวิตร่วมกับสเตฟฟี่ กราฟ และมีลูกชายคนแรกคือ เจเดน กิล ในปี 2001 ซึ่งชื่อกลาง "กิล" ก็มาจากชื่อของ กิล เรเยส เทรนเนอร์คู่ยาก ของเขานั่นเองและอีก 2 ปีถัดมา กราฟก็ให้ กำเนิดบุตรคนที่ 2 เป็นหญิงชื่อว่า เจซ เอลล์ และ "ครอบครัว" นี่เองที่ทำให้อังเดร เริ่มหันมาทุ่มเทและใส่ใจมากขึ้น ซึ่งเขาถือว่า ครอบครัวต้องมาเหนือสิ่งอื่นใด อย่างที่เขากล่าวกับสื่อในวันอำลาว่า ก่อนอื่นเขาต้องกลับไปอธิบายให้ลูกวัย 4 และ 2 ขวบเข้าใจว่า ทำไมพ่อต้อง ร้องไห้ในวันนั้น...
ชีวิตนอกสนามและในสนามของอังเดรยังไม่ปิดฉากบริบูรณ์ ฉบับหน้าเตรียม พบกับ "งาน" นอกสนามที่อังเดรมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องและก่อร่างสร้างขึ้นจากแรงกายและแรงใจของเขา...
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|