ไทยฟิล์มฯลดสัดส่วนถือหุ้นTCIหวังลงทุนยาว-กำไรราคาไอพีโอ


ผู้จัดการรายวัน(28 กันยายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ สละสิทธิ์จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน "ไทยคอปเปอร์ฯ" ให้กับกลุ่มมหากิจศิริ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเหลือเพียง 19.97% ระบุเพื่อลงทุนระยะยาวและหวังกำไรจากการนำหุ้นออกขายให้ประชาชนทั่วไปก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายวัลลภ คุณานุกรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TEI รายงานความคืบหน้าการเพิ่มทุนของบริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TCI (TFI ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 24.42%) จำนวน 138.25 ล้านหุ้น ว่าบริษัทได้จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าวให้กับผู้ถือหุ้นเดิม 2 ราย คือ นางสุวิมล มหากิจศิริ จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 97.32 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 401 ล้านบาท และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) 40.94 ล้านหุ้น รวม 168.70 ล้านบาท

การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว สืบเนื่องจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น TCI เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2549 อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 662.33 ล้านหุ้น เป็น 800.58 ล้านหุ้น ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 138.25 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท รวม 1,382.52 ล้านบาท เพื่อจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4.5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 4.12 บาท รวม 569.59 ล้านบาท แต่ TFI และผู้ถือหุ้นรายอื่นได้สละสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน

โดยวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนใน TCI และเป็นเงื่อนไขของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนให้กับ TCI อีก 2,800 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของธนาคารในการปล่อยกู้ธนาคารจึงบังคับให้นายประยุทธ มหากิจศิริ หรือกลุ่มนายประยุทธ เป็นผู้รับผิดชอบในการเพิ่มทุนก่อนที่ TCI จะเบิกเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 2,800 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ TCI ได้รับสินเชื่อจากธนาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังจากการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน TCI จึงได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้วต่อกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดย TCI มีทุนจดทะเบียน 800,579,304 หุ้น ราคาพาร์ 10 บาท รวม 8,005,793,040 บาท เรียกชำระแล้ว 760,388,004 หุ้น รวม 7,603,880,040 บาท

ขณะที่โครงสร้างการถือหุ้น TCI หลังการเพิ่มทุนเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ ประกอบด้วย บสท. เดิมถือหุ้น 184,210,125 หุ้น หรือ 29.61% เป็น 225,145,708 หุ้น หรือ 29.61% กลุ่มนายประยุทธ จาก 205,314,911 หุ้น หรือ 33.00% เป็น 302,630,692 หุ้น หรือ 39.80% และ TFI จาก 151,898,138 หุ้น หรือ 24.42% ลดเหลือ 151,898,138 หุ้น หรือ 19.97% ส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายอื่น

ด้านความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจของ TCI นั้น สืบเนื่องจาก TCI เป็นอุตสาหกรรมหนักและมีเงินลงทุนสูงถึง 30,000 ล้านบาท จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินงานให้มีผลกำไร โดยขณะนี้ราคาแร่ทองแดงได้ขึ้นจากระดับ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อปี 2547 เป็นประมาณ 7,500 เหรียญสหรัฐต่อตันในปัจจุบัน ทำให้สินค้าคงคลัง (หัวแร่ทองแดง) ของ TCI จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งกำไรจากส่วนต่างมูลค่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อ TCI ได้เริ่มการผลิตใหม่ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

นอกจากนี้ คาดว่า TCI น่าจะสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จาก TC / RC (Treatment Charge / Refinery Charge) และ Product Premium ที่สูงขึ้นตามราคาแร่ทองแดง ส่งผลให้ TFI จะได้รับเงินปันผลจาก TCI เมื่อ TCI เริ่มมีกำไรสะสม และจะมี capital gain จากมูลค่าหุ้น เมื่อ TCI เข้าข่ายสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ โดยบริษัทคาดว่าจะขายหุ้นของ TCI บางส่วนในลักษณะ PP (Private placement) หรือ IPO (Initial Public offering) และจะเหลือไว้ส่วนน้อยเพื่อเป็นการลงทุนระยะยาวของบริษัท

สำหรับผลการดำเนินงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 TCI มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจหลัก 2,022 ล้านบาท รายได้รวม 2,023 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 60 ล้านบาท กำไรสุทธิ 60 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 25,626 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,200 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 5,426 ล้านบาท และขาดทุนสะสม 796 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.