ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคมเป็นต้นมา พื้นที่ ที่เคยถูกใช้เป็นห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเม้นสโตร์
ในศูนย์การค้าแฟชั่น ไอร์แลนด์ ถนนรามอินทรา ได้ถูกปิดลง เพื่อปรับปรุง เปลี่ยนรูปแบบใหม่เป็นเซ็นทรัลเพาเวอร์เซ็นเตอร์
สาขา 2
เพาเวอร์เซ็นเตอร์ เป็นศูนย์ค้าปลีกรูปแบบใหม่ ของเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น(CRC)
บริษัทแกนนำของธุรกิจค้าปลีก ในเครือเซ็นทรัล ภายในจะประกอบไปด้วยดิสเคาท์สโตร์
อย่างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และสเปเชียลตี้สโตร์ อย่างเพาเวอร์บาย และซูเปอร์สปอร์ต
รวมอยู่ภายในอาณาบริเวณเดียวกัน
นอกจากนี้ CRC ยังได้พัฒนาร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 รูปแบบ ที่จะนำเข้ามารวมอยู่ในเพาเวอร์เซ็นเตอร์
สาขา ที่ 2 แห่งนี้ ซึ่งประกอบด้วย
1.ร้าน Just 25 เป็นร้านจำหน่ายสินค้าราคาเดียว คือ 25 บาท ภายในร้านจะมีของใช้ตั้งแต่ของส่วนตัว
ของแต่งบ้าน ขนมขบเคี้ยว กิ๊ปช็อป เครื่องเขียน กลุ่มเป้าหมายจะเป็นนักเรียน
คนทำงาน และแม่บ้าน
2.ร้าน Red Dot เป็นร้านจำหน่ายสินค้า คล้ายห้างสรรพสินค้า แต่จะเน้นด้านเสื้อผ้าแนวแฟชั่นราคาถูก
3.ร้าน B2S เป็น Life Style Store ภายในจะขายหนังสือ เครื่องเขียน เทปเพลง
และวีดิโอ เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น
"การรวมธุรกิจต่างๆเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน เพื่อต้องการให้เพาเวอร์เซ็นเตอร์
มีลักษณะเป็น One Stop Shoping"ทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายปฏิบัติการ CRC กล่าว
ก่อนหน้านี้ CRC ได้ปรับรูปแบบห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเม้นสโตร์ สาขาหัวหมาก
เพื่อเปิดเป็นเพาเวอร์เซ็นเตอร์ สาขาแรกไปแล้ว โดยเพิ่งเปิดเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
ใช้งบประมาณในการปรับปรุงพื้นที่ 350 ล้านบาท แต่เพิ่งเปิดให้บริการเพียง
5 ชั้น จาก ที่มีอยู่ทั้งหมด 8 ชั้น
ส่วน ที่สาขาแฟชั่นไอร์แลนด์ ซึ่งจะใช้งบประมาณในการปรับปรุงพื้นที่ทั้งสิ้น
250 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนมิถุนายน 2544
ห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเม้นสโตร์ สาขาแฟชั่นไอร์แลนด์ มี 4 ชั้น พื้นที่รวม
35,000 ตารางเมตร ตามโครงการ เมื่อปรับรูปแบบเป็นเพาเวอร์เซ็นเตอร์แล้ว ในชั้น
1 และ 2 ซึ่งมีพื้นที่รวม16,000 ตารางเมตร จะเป็นที่ตั้งของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์
ชั้น G ซึ่งมีพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร จะเป็นที่ตั้งของร้านเพาเวอร์บาย
ซูเปอร์สปอร์ต JUST 25 และร้าน B2S นอกจากนี้ยังมีฟู้ดคอร์ต และภัตตาคารเดอะเทอเรส
ส่วนชั้น 3 จะเป็นที่ตั้งของร้าน Red Dot
"การเปลี่ยนห้างเซ็นทรัลสาขารามอินทราเป็นเพาเวอร์เซ็นเตอร์ เพื่อขยายฐานลูกค้า"ทศกล่าวถึงเหตุผล
CRC ได้ลงทุนเช่าพื้นที่ภายในศูนย์การค้าแฟชั่นไอร์แลนด์ จากบริษัทสยามรีเทล
ดีเวลล้อปเม้นท์ เจ้าของโครงการ เพื่อเปิดเป็นห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเม้นท์สโตร์มาตั้งแต่เมื่อปี
2537
สุนันท์ ไชยสายัณต์ กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป สยามรีเทล ดีเวลล้อปเม้นท์
กล่าวว่าจากการสำรวจจำนวนคนที่เข้ามาเดินในศูนย์การค้าพบว่าในวันธรรมดามีคนเดินเฉลี่ยวันละ
30,000 คน วันเสาร์เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 คน และวันอาทิตย์ 50,000 คน
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่าตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการเป็นต้นมา ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
สาขานี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่า ที่ควร ซึ่งสาเหตุหนึ่งนอกจากต้องเผชิญกับปัญหากำลังซื้อของคนที่ลดต่ำลง
อันเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากการที่ภายในศูนย์การค้าแห่งนี้
มีห้างสรรพสินค้าถึง 2 แห่งรวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน คือ ห้างเซ็นทรัล และห้างโรบินสัน
ทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเกิดความสับสน เพราะกลุ่มลูกค้าของทั้ง 2 ห้างอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
ซึ่งทศเองก็ยอมรับ
"บางครั้งลูกค้ามาเดิน ที่ศูนย์การค้าแห่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเข้า ที่ไหนดีระหว่างเซ็นทรัลกับโรบินสัน"เขาบอก
ทศยอมรับว่า ในด้าน operation เดือนต่อเดือน ห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเม้นท์สโตร์
สาขาแฟชั่นไอร์แลนด์ มีบัญชีเป็นกำไรมาโดยตลอด แต่หากดูบัญชีโดยรวม ซึ่งรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ที่กู้มาในช่วงลงทุนเปิดสาขา ยังขาดทุนอยู่
แม้ว่าทั้งห้างเซ็นทรัล และโรบินสัน จะอยู่ในเครือ CRC เช่นเดียวกัน แต่ปัญหาความสับสนของกลุ่มลูกค้า
ไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของทั้งกลุ่ม ดังนั้น การตัดสินใจปิดห้างใดห้างหนึ่งลง
แล้วปรับเปลี่ยนให้ concept มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด น่าจะทำให้ผลโดยรวมดีขึ้น
"เราคาดว่าเมื่อเปลี่ยนห้างเซ็นทรัลเป็นเพาเวอร์เซ็นเตอร์ จะทำให้ยอดขายของโรบินสันดีขึ้นอีกไม่น้อยกว่า
50%"ทศค่อนข้างมั่นใจ เพราะกลยุทธประการหนึ่ง ที่ CRC จะนำมาใช้ในการปรับแนวทางของห้างทั้ง
2 คือ สินค้า brand ใด ที่เคยขายอยู่ในห้างเซ็นทรัล และเป็นที่ติดตลาดของลูกค้าในย่านนี้แล้ว
จะถูกโอนย้ายไปขายอยู่ในห้างโรบินสันทั้งหมด
การปรับเปลี่ยนแนวทางของห้างสรรพสินค้า 2 แห่งในเครือ CRC ครั้งนี้ เป็นการดิ้น เพื่อแก้ปัญหาความสับสนของลูกค้า ที่อยู่ในย่านรามอินทรา
ซึ่งจะประสบผลสำเร็จหรือไม่
หลังจากนี้ไปอีก 6 เดือนก็จะรู้